stem คือ
STEM ย่อมาจาก Science, Technology, Engineering, และ Mathematics ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักที่เชื่อมโยงกันในการพัฒนาและใช้งานเทคโนโลยีต่างๆ ดังนั้น องค์ประกอบ STEM คือ
- Science (วิทยาศาสตร์) ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติ ประกอบด้วยหลายสาขา เช่น ฟิสิกส์, เคมี, ชีววิทยา เป็นต้น
- Technology (เทคโนโลยี) การนำวิทยาศาสตร์มาใช้ในการออกแบบ พัฒนา และใช้งานเครื่องมือ เครื่องจักร หรืออุปกรณ์ต่างๆ เพื่อสร้างความสะดวกสบายและประหยัดเวลา
- Engineering (วิศวกรรม) การใช้ความรู้และทักษะในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการออกแบบ สร้าง และพัฒนาระบบ โครงสร้าง หรือเครื่องมือต่างๆ
- Mathematics (คณิตศาสตร์) ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับตัวเลข สัมประสิทธิ์ การวัด และการแก้ปัญหา มีการนำไปใช้ในหลายสาขา เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ การเงิน หรือวิทยาศาสตร์ชีวภาพ
รอบรู้เรื่อง stem คืออะไร ทำไมคนถึงสนใจ !?
เราอาจจะเคยได้ยินคำว่า “s.t.e.m.” หรือที่อ่านว่า “สะเต็ม” โดยสะเต็มศึกษา คือ จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับด้านการศึกษาในรูปแบบการผสมผสาน ซึ่งปัจจุบันมีหลายคนกำลังให้ความสนใจลักษณะของ s.t.e.m. education หรือ สะเต็มศึกษากันมากขึ้น จะมีรายละเอียดที่น่าสนใจอย่างบ้างนั้น เราไปดูกันเลย
สะเต็มศึกษาคืออะไร
stem education คือ การจัดการเรียนรู้แบบ s.t.e.m ซึ่งเป็นการศึกษารูปแบบที่นำศาสตร์การเรียน 4 แขนงที่มีความสำคัญ นำมาผสมผสานประยุกต์กัน เพื่อให้สอดรับกับการศึกษาในยุคแห่งโลกดิจิทัล โดยที่สะเต็มศึกษาจะนำเอาหัวใจหลักของการศึกษามาจาก 4 สาขาวิขา มาจัดเป็นองค์ประกอบ s.t.e.m.
s.t.e.m. ย่อมาจากอะไร ?
ความรู้ด้านกระบวนการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ โดยการมองวิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์แห่งความจริงและธรรมชาติ ว่าด้วยการศึกษาศาสตร์ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ การหาเหตุและผล ตั้งคำถาม การตั้งสมมติฐาน มีการค้นคว้า ทดลอง เรียนรู้ นำไปสู่การสืบหาข้อเท็จจริง ทดลองเพื่อพิสูจน์ความจริง ซึ่งกระบวนการทางวิทยาศาสตร์จะเป็นหลักการที่จะสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นที่ตามหลักการ ขั้นตอน ช่วยสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่ง่ายขึ้น และช่วยให้นำไปสู่การสร้างผลลัพธ์เป็นที่ยอมรับได้ตามหลักสากล
ความรู้ด้านเทคโนโลยีจะต้องนำศาสตร์ที่มีความทันสมัย เปิดรับศาสตร์ใหม่ ๆ เข้ามาผสานแนวความคิด ไม่ติดอยู่กับการเรียนรู้และเทคโนโลยีรูปแบบเดิม ๆ โดยการใช้เทคโนโยลียังเป็นการช่วยพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา ปรับปรุงกระบวนการทำงาน และพัฒนากระบวนการทำงานให้เปิดประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้น พบว่ายิ่งเราอาศัยการนำเทคโนโลยีมาใช้ได้มากเท่าไรจะช่วยตอบสนองเรื่อความต้องการในการทำงานของมนุษย์ได้ดีมากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน
ความรู้ด้านวิศวกรรมศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่จะต้องใช้ความสามารถความรู้เชิงเทคนิคค่อนข้างสูง โดยการประยุกต์ร่วมกันหลายศาสตร์ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี เข้ามาบูรณาการร่วมกัน ดังนั้น การนำศาสตร์ด้านวิศวกรรมศาสตร์มาใช้จะเป็นการสร้างสรรค์งานนวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมา เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพของงานได้อย่างสูงสุด
ความรู้พื้นฐานการคำนวณเชิงคณิตศาสตร์โดยเฉพาะ จะต้องฝึกใช้ความคิดอย่างมีตรรกะ นำเอาสูตรความคิด การคำนวณที่เป็นพื้นฐานมาประยุกต์ให้กับศาสตร์วิชาอื่น ๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ โดยความรู้พื้นฐานจากคณิตศาสตร์เป็นองค์ความรู้พื้นฐานที่สำคัญในการต่อยอดการเรียนรู้แก่วิชาวิศวกรรมศาสตร์อีกด้วย ทั้งนี้ ความรู้พื้นฐานการคำนวณจะต้องมีความรู้และความเข้าใจหลักการที่มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรูปทรง การใช้สูตรให้เหมาะสม เป็นต้น
stem education คืออะไร
STEM Education หมายถึง การศึกษาและเรียนรู้ในสาขาวิชาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Science, Technology, Engineering และ Mathematics โดยการเรียนรู้ในสาขาวิชาเหล่านี้จะเน้นการเรียนรู้และฝึกฝนทักษะในการคิดวิเคราะห์ การแก้ไขปัญหา การทำงานเป็นทีม และการวิจัย ที่สามารถนำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สามารถพัฒนาและเปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดย STEM Education เป็นระบบการเรียนรู้ที่เน้นการเรียนรู้แบบภาคซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อเตรียมพร้อมนักเรียนหรือผู้เรียนในการเข้าร่วมสังคมและตลาดแรงงานในอนาคต โดยมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ วิศวกรรม และเทคโนโลยี เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในหลักการพื้นฐานของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สามารถนำไปสู่การนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน และเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ
STEM Education ไม่เพียงเป็นการเรียนรู้ในห้องเรียนเท่านั้น แต่ยังเป็นการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและการปฏิบัติจริง โดยผู้เรียนจะได้ด้วยวิธีการเรียนรู้แบบปฏิบัติจริง เช่น การทำโครงการวิจัย การฝึกงาน หรือการเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเสริมสร้างทักษะและความเข้าใจในการใช้ความรู้และเทคโนโลยีในชีวิตจริง
STEM Education ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของสังคมที่ต้องการบุคลากรที่มีทักษะด้าน STEM สูง เพื่อตอบสนองกับการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ในสาขาต่างๆ และเป็นการเตรียมความพร้อมของบุคลากรในอนาคตที่จะเข้าร่วมในอุตสาหกรรมและธุรกิจต่างๆ ในสาขาต่างๆ
STEM Education ถูกนำมาใช้ในหลายประเทศทั่วโลกเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ในสาขาวิชาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ วิศวกรรม และเทคโนโลยี โดยการเรียนรู้แบบ STEM Education มีจุดเด่นในการส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับผู้เรียน ในขณะที่เรียนรู้วิชาต่างๆ ผู้เรียนยังได้ฝึกฝนทักษะการทำงานเป็นทีม การแก้ไขปัญหา และการนำเสนอผลงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างนวัตกรรม stem
นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับ STEM มีจำนวนมากและหลากหลาย โดยสามารถแบ่งได้เป็นหลายๆ กลุ่ม ดังนี้
- เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสิ่งของ (Internet of Things, IoT) ปัจจุบัน IoT เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยสามารถนำไปใช้งานในหลายๆ สถานการณ์ เช่น การจัดการโรงงานอัตโนมัติ การจัดการการขนส่ง การอัพเดทสถานที่ในแผนที่แบบเรียลไทม์ และอื่นๆ
- การพัฒนาเทคโนโลยีและระบบการจัดการพลังงานทดแทน (Renewable Energy) นวัตกรรมด้านพลังงานทดแทนเป็นหนึ่งในแนวโน้มที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีและระบบการจัดการพลังงานที่มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงพลังงานจากแหล่งพลังงานสิ่งที่ไม่สามารถหมดไปได้ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานไอน้ำร้อน
- เทคโนโลยีการแยกประเภทเสียง (Speech Recognition) เทคโนโลยีการแยกประเภทเสียง (Speech Recognition) เป็นเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้เชิงลึก เพื่อให้เครื่องมือหรือเครื่องจำลองสามารถรู้จำและแยกแยะเสียงพูดของมนุษย์ได้แม่นยำมากขึ้น และสามารถใช้งานได้ในหลายๆ สถานการณ์ เช่น แอปพลิเคชันค้นหาเส้นทาง ระบบสั่นเบาๆ เพื่อช่วยผู้สูงอายุในการระบายเสียงหรืออื่นๆ
- โรงงานอัตโนมัติ (Industry 4.0) โรงงานอัตโนมัติ เป็นโครงการที่มุ่งเน้นการผลิตสินค้าที่แม่นยำและรวดเร็วขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เช่น IoT, การเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) และการใช้ระบบการทำงานโดยใช้แรงงานแบบอัตโนมัติ
- การพัฒนาสื่อการสอนและการเรียนรู้ออนไลน์ (Online Learning) การพัฒนาสื่อการสอนและการเรียนรู้ออนไลน์เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ในทุกๆ สถานที่และเวลา โดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและการเรียนรู้เชิงลึก เช่น แอปพลิเคชันการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ หรือแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยของนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับ STEM โดยจะมีนวัตกรรมที่มีความสำคัญในชีวิตประจำวัน และมีการพัฒนาต่อเนื่องขึ้นมาเรื่อยๆ โดยสามารถเป็นเครื่องมือหรือเทคโนโลยีที่ช่วยให้ชีวิตมนุษย์มีความสะดวกสบายและประหยัดเวลามากยิ่งขึ้นในอนาคต
เป้าหมายของการเรียนการสอน stem คืออะไร
เป้าหมายของการเรียนการสอน STEM คือการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะและความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ วิศวกรรม และเทคโนโลยีให้สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาและการคิดวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เรียนเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่สถานภาพและตำแหน่งงานในอนาคตที่ต้องการความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
นอกจากนี้ การเรียนการสอน STEM ยังมีเป้าหมายในการส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักและเข้าใจในการประยุกต์ใช้ความรู้ทาง STEM ในชีวิตประจำวันอย่างถูกต้อง โดยเน้นการเรียนรู้แบบปฏิบัติจริง เช่น การทำโครงการวิจัย การฝึกงาน หรือการเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนทักษะการทำงานเป็นทีม การแก้ไขปัญหา และการนำเสนอผลงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้น เป้าหมายของการเรียนการสอน STEM ไม่ได้จำกัดเพียงการเรียนรู้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเท่านั้น
ตัวอย่าง stem ในชีวิตประจําวัน
นี่คือตัวอย่างของการประยุกต์ใช้ STEM ในชีวิตประจำวันของเรา
- การใช้เทคโนโลยีเครื่องคิดเลข (Calculator) เครื่องคิดเลขเป็นเครื่องมือที่ใช้ทั่วไปในการคำนวณเลข โดยมีระบบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ภายในที่ช่วยให้การคำนวณเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
- การใช้แผนที่ (Map) การใช้แผนที่ในการนำทางเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน เช่น การใช้ Google Map เพื่อหาเส้นทางในการเดินทางหรือการขับรถ
- การใช้โทรศัพท์มือถือ (Mobile Phone) โทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์ที่ทุกคนใช้ในการติดต่อสื่อสาร และส่งข้อมูลระหว่างกัน โดยมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การใช้แอปพลิเคชันในการส่งข้อความ การทำงานออนไลน์ และการนำเสนอข้อมูล
- การใช้รถยนต์ (Automobile) รถยนต์เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการเดินทางในชีวิตประจำวัน โดยมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การใช้เครื่องยนต์ไฟฟ้า (Electric Engine) เพื่อลดการปล่อยสารพิษและกำลังพลังที่ใช้ในการขับรถ
- การใช้เครื่องซักผ้า (Washing Machine) เครื่องซักผ้าเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการซักผ้า โดยมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การใช้เทคโนโลยีการซักผ้าแบบอัตโนมัติที่ช่วยลดการใช้น้ำและพลังงานได้อย่างมาก
- การใช้เครื่องทำความร้อนอาหาร (Microwave) เครื่องทำความร้อนอาหารเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยลดเวลาในการทำอาหาร โดยมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การใช้เทคโนโลยีความถี่สูง (High-frequency Technology) เพื่อให้เครื่องทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- การใช้แสงไฟฟ้า (Electric Light) แสงไฟฟ้าเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการสร้างแสงไฟฟ้าเพื่อใช้ในการไฟฟ้าสำหรับการใช้ในบ้าน ออกแบบให้เหมาะสมกับการใช้งานในบ้านและสะดวกสบายในการใช้งาน
- การใช้ตู้เย็น (Refrigerator) ตู้เย็นเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อให้มีอายุการเก็บรักษานานขึ้น โดยมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะ (Smart Technology) เพื่อควบคุมอุณหภูมิและปริมาณของอาหารและเครื่องดื่มที่อยู่ในตู้เย็น
- การใช้โทรทัศน์ (Television) โทรทัศน์เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการรับสัญญาณโทรทัศน์เพื่อแสดงภาพและเสียง โดยมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การใช้เทคโนโลยี
การสอนแบบ s.t.e.m. – ประโยชน์ของสะเต็มศึกษา
หลักสูตร s.t.e.m. หรือการจัดการเรียนการสอนแบบ s.t.e.m. จะต้องบูรณาการศาสตร์ต่าง ๆ ควบรวมกัน ตามปกติแล้วเราจะเรียนแต่ละสาขาวิชาแยกออกจากกัน นั้นเป็นเหตุผลหลักที่เด็กไทยไม่ได้เข้าใจการประยุกต์ใช้ความรู้อย่างแท้จริง เพราะในโลกความเป็นจริงแต่ละศาสตร์ล้วนแต่เป็นความรู้พื้นฐานที่สำคัญและมีความเกี่ยวข้องัสมพันธ์กัน โดยที่จะต้องนำศาสตร์วิชาสำคัญ ๆ มาบูรณาการ นี่จึงเป็นหัวใจหลักสำคัญของสเต็มศึกษานั้นเอง
แผนการจัดการเรียนรู้แบบ s.t.e.m. จะเป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้เข้าใจแก่นสำคัญของการศึกษา เพราะการสอนแบบสะเต็มศึกษาจะทำให้ผู้เรียนคุ้นเคยและรู้จักการนำศาสตร์แต่ละแขนกมาประยุกต์ใช้ มองเห็นภาพรวมและเห็นถึงความสำคัญของการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ขึ้นมา ไม่ใช่แค่การเรียนเพื่อสอบไปในแต่ละวิชาเท่านั้น
กิจกรรมสะเต็มสามารถจัดรูปแบบโครงงานสะเต็มศึกษา โดยมีตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้แบบ s.t.e.m. ได้ในทุกระดับชั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องอยู่ในระดับอุดมศึกษาอย่างเดียว เราสามารถจักทำแผนการสอนสะเต็มศึกษาปฐมวัย จัดกิจกรรม s.t.e.m. มัธยมปลาย หรือแม้ประทั่งระดับอนุบาลอย่างเช่น ใบงานสเต็มอนุบาล ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนรู้จักการประยุกต์ศาสตร์ต่าง ๆ อย่างมีอิสระและเป็นไปตามหลักการของกระบวนการเรียนรู้
อย่างไรก็ตาม รูปแบบของสะเต็มศึกษาประเทศไทยในปัจจุบันมียังถือได้ว่าเป็นเรื่องใหม่ ยังจำกัดอยู่ในวงแคบ ควรมีการพัฒนาหลักสูตรจากสถาบันการศึกษาให้เพิ่มมากขึ้น ร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องแผนการสอนแบบ s.t.e.m ซึ่งไม่ใช่แค่กับหน่วยงานการศึกษา แต่สถาบันครอบครัวจะต้องให้ความสำคัญในเรื่องแผนการสอนแบบ s.t.e.m. โดยชี้ให้เห็นความสำคัญแก่เด็กหรือผู้เรียนได้ว่าศาสตร์ต่าง ๆ ที่เราเรียนรู้จะนำมาประยุกต์ในชีวิตประจำวันได้อย่างไรบ้าง
อาจจะยกตัวอย่างของการศึกษา รูปแบบนวัตกรรมสื่อการสอนวิทยาศาสตร์ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน อาจจะเริ่มจากกิจกรรม s.t.e.m. ง่ายๆ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าบางอย่างในบ้านเราเองก็เกิดการรูปแบบการผสมผสานของความรู้ในเชิง s.t.e.m. education ได้ เพื่อทำให้เด็กหรือผู้เรียนเห็นความสำคัญได้จากเรื่องใกล้ตัว และสถาบันครอบครัวและสถาบันการศึกษาจะต้องสนับสนุนและเปิดโอกาสให้เด็กได้สามารถคิดนอกกรอบ สามารถคิดและสร้างสรรค์นวัตกรรมเองได้อย่างเต็มที่ สร้างคำถามให้นักเรียนเข้าใจคําว่าเทคโนโลยีอย่างไรมากกว่าการตีกรอบความคิดเท่านั้น
ซึ่งหลักการในการสอนแบบ s.t.e.m. คือ จะต้องสอนให้ผู้เรียนเข้าใจความรู้พื้นฐานที่สำคัญแต่ละแขนง แต่ผู้เรียนจะต้องประยุกต์และต่อยอดศาสตร์ต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง
อนาคตเรื่อง stem education กับการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21
การเรียนแบบ s.t.e.m. education หรือ สะเต็มศึกษา เป็นศาสตร์ที่จะมีความจำเป็นและสำคัญอย่างมากต่อโลกการศึกษา ด้วยรูปแบบการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบันที่เน้นการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสูง ทำให้ผู้เรียนจะมาหัดประยุกต์และบูรณาการความรู้ตอนโตก็ไม่ทันเสียแล้ว ยิ่งมีการเรียนรู้การสอนแบบ s.t.e.m. ได้เร็วมากเท่าไรจะให้ผู้เรียนได้ฝึก ปรับตัว ได้นำความรู้ต่อยอดได้อย่างรวดเร็วมากเท่านั้น ซึ่งหลักสูตร s.t.e.m. นั้นไม่ใช่ความสำคัญในระดับบุคคลเท่านั้น แต่จะส่งผลให้เกิดการพัฒนาระดับท้องถิ่น ชุมชน ประเทศชาติและนำไปสู่ระดับประชาคมโลกได้ดีอีกด้วย
ซึ่งประเทศไทยเองยังขาดปริมาณกำลังคนที่เรียนรู้และมีความเชี่ยวชาญศาสตร์วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี นับได้ว่าน้อยมากและมีอัตราที่ลดลงทุกปี สวนทางกับการพัฒนาและการเติบโตของโลกดิจิทัลในปัจจุบันอย่างมาก การส่งเสริมเรื่องความรู้จึงไม่แค่การการบังคับให้เด็กหรือผู้เรียนจะต้องเรียนสายวิทย์ คณิต อย่างเดียว แต่ต้องสร้างความเข้าใจ การสนับสนุน ผลักดันเพื่อให้เห็นความสำคัญและรู้สึกสนุกกับรูปแบบการเรียนแบบการสอนแบบ s.t.e.m.
เด็กหรือผู้เรียนจะสามารถต่อยอดความรู้ได้เองในระดับสากล สามารถเติบโต จัดการตนเอง พัฒนาตนเองและสังคมได้อย่างมีศักยภาพ เด็กไทยจะไม่ต้องมาค้นหาความชอบตนเองในวัยโตเพราะโลกทางการศึกษาได้ให้การพัฒนาศักยภาพตนเองได้เต็มที่ ส่งเสริมการเป็นอัจฉริยะแก่บุคคล
เพราะสะเต็มศึกษาจะไม่ปิดกั้นเรื่องความคิดและการพัฒนาความรู้ไปในศาสตร์ที่เด็กสนใจ ส่งเสริมความกล้าทดลอง เผชิญหน้า ลองผิดลองถูก ได้รับประสบการณ์ ส่งเสริมการคิดใช้เชิงตรรกะของเด็ก มองการค้นคว้าการศึกษาเป็นเรื่องที่มีความสนุก รู้สึกสนใจ สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นหัวใจและหลักการสำคัญของการศึกษาแบบ s.t.e.m. ดังนั้น การเรียนรู้แบบ s.t.e.m. จะเป็นแนวทางในขับเคลื่อนทางด้านการศึกษาที่มีความสำคัญอย่างมากของโลกอนาคต
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลที่มาอ้างอิง
- S.T.E.M. คืออะไร? น่าสนใจอย่างไร. July 17, 2021. จากเว็บไซด์ https://owlcampus.com/what-is-stem-and-its-benefits-for-kids/
- ความหมายของสะเต้ม. จากเว็บไซด์ https://sites.google.com/site/stemmongkol/khwam-hmay-khxng-sa-tem
อ่านบทความทั้งหมด >>> pangpond.com
บทความแนะนำ หมวดหมู่: วัยรุ่น
จำนวนคอมเมนต์ของโพสต์ ID 170640: 503