ปก Active Learning

10 Active Learning รูปแบบขั้นตอนจัดการเรียนทำได้อย่างเจ๋ง?

วิธีการเรียนรู้แบบ Active Learning ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

Active Learning เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ใช้การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้เรียนและครูหรือผู้สอนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยผู้เรียนมี peractiveive ในการกำหนดและสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้เพื่อเพิ่มการเก็งความรู้และความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียน การใช้ Active Learning สามารถช่วยเพิ่มการเก็งความรู้และเข้าใจได้ดีขึ้น ดังนี้คือวิธีการเรียนรู้แบบ Active Learning ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้

Active Learning คืออะไร

  1. เลือกข้อมูลที่จะศึกษาให้ดี ใน Active Learning คุณควรเลือกข้อมูลที่เป็นประโยชน์และสร้างประสิทธิภาพสูงสุดในการเรียนรู้ของคุณ เลือกเนื้อหาที่น่าสนใจและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้ของคุณ
  2. สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม การเรียนรู้แบบ Active Learning ควรมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ของคุณ ให้ตั้งสถานที่ที่เงียบสงบและไม่มีสิ่งกีดขวางที่จะทำให้คุณสายตาเดินไปอยู่ไกลจากการเรียนรู้ เช่น สร้างพื้นที่ที่มีการรบรมในห้องเรียนหรือสมมุติฐานเสมือน เพื่อให้คุณสามารถศึกษาได้โดยไม่มีสิ่งรบกวน
  3. ใช้เทคนิคการเรียนรู้ที่แตกต่างแบบ Active Learning มีเทคนิคหลายอย่างที่คุณสามารถนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของคุณได้ เช่น
  4. การสร้างคำถาม ใช้เทคนิคการสร้างคำถามเพื่อกระตุ้นความคิดและการแก้ไขปัญหา คุณสามารถสร้างคำถามที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรียนหรือปัญหาที่ต้องการแก้ไข ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเรียนรู้และเข้าใจของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ
  5. การอธิบายและสรุปเนื้อหา เมื่อคุณเรียนรู้เนื้อหาใหม่ ลองอธิบายและสรุปเนื้อหาด้วยตัวเอง โดยการอธิบายและสรุปเป็นคำพูดหรือเขียน เพื่อทบทวนความเข้าใจของคุณ และสามารถตรวจสอบได้ว่าคุณมีความเข้าใจถูกต้องหรือไม่
  6. การเรียนรู้ร่วมกัน ใช้การเรียนรู้ร่วมกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดและความเข้าใจกับผู้อื่น คุณสามารถเรียนรู้จากผู้เรียนคนอื่น หรือสามารถสนับสนุนและแบ่งปันความรู้ของคุณให้กับผู้อื่นได้ เช่น การสร้างกลุ่มเรียนรู้หรือการอธิบายเนื้อหาให้ผู้อื่นเข้าใจ
  7. การทดลองและปฏิบัติการ การเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่ในห้องเรียนเท่านั้น ลองใช้เทคนิคการทดลองและปฏิบัติการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ สามารถทำการทดลองหรือปฏิบัติการเพื่อปรับปรุงความเข้าใจและความเชี่ยวชาญของคุณในเนื้อหาที่เรียนรู้ เช่น การแก้ปัญหาแบบสมมุติฐาน เล่นบทบาทเพื่อทดสอบความเข้าใจ หรือการปฏิบัติการในสถานการณ์จริงที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรียนรู้
  8. การใช้เทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ เช่น การใช้แอปพลิเคชันเรียนรู้หรือแพลตฟอร์มการเรียนออนไลน์ที่มีเนื้อหาและกิจกรรมที่สร้างสรรค์ สามารถใช้เทคโนโลยีสื่อสารเพื่อสื่อสารกับผู้เชี่ยวชาญหรือผู้อื่นที่สนใจในเนื้อหาเดียวกัน
  9. การตั้งเป้าหมายและติดตามความก้าวหน้า กำหนดเป้าหมายในการเรียนรู้และติดตามความก้าวหน้าของคุณ การกำหนดเป้าหมายชัดเจนจะช่วยให้คุณมีแรงจูงใจและมุ่งมั่นในการเรียนรู้ และการติดตามความก้าวหน้าจะช่วยให้คุณรับรู้ถึงความคืบหน้าและปรับปรุงกระบวนการเรียนรู้ต่อไป
  10. การสะท้อนกลับและปรับปรุง ทำการสะท้อนกลับเกี่ยวกับประสิทธิภาพของกระบวนการเรียนรู้และปรับปรุงต่อไป หลังจากที่คุณได้ทำการเรียนรู้แบบ Active Learning และทดลองวิธีต่าง ๆ แล้ว รีวิวผลและสะท้อนกลับว่าอะไรเป็นประสิทธิภาพและอะไรที่ยังต้องปรับปรุง เช่น การตรวจสอบว่าเทคนิคใดที่ทำให้คุณเรียนรู้ได้ดีที่สุด หรือมีเรื่องใดที่ยังไม่เข้าใจอยู่ และวางแผนการปรับปรุงต่อไปในกระบวนการเรียนรู้ของคุณ

การใช้ Active Learning เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มการเรียนรู้และเข้าใจ และทั้งนี้จำเป็นต้องมีการพยายามและความอุตสาหะในการเรียนรู้ ความตั้งใจและการมองหาความรู้ในแต่ละวันจะช่วยให้การใช้ Active Learning เป็นประสบการณ์ที่เติบโตและเป็นประสิทธิผลมากยิ่งขึ้นได้

5 ขั้น ตอน Active Learning 

นี่คือ 5 ขั้นตอนในกระบวนการ Active Learning

5 ขั้นตอน Active Learning

  1. การวางแผนกิจกรรม เริ่มต้นด้วยการวางแผนกิจกรรมที่ต้องการทำในการเรียนรู้ เลือกเนื้อหาหรือหัวข้อที่คุณต้องการเรียนรู้และกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น การอ่านหนังสือ, การศึกษาเว็บไซต์, การดูวิดีโอ, หรือการทดลองเป็นต้น
  2. การตั้งคำถาม เมื่อคุณได้เริ่มกิจกรรมการเรียนรู้แล้ว ตั้งคำถามที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือหัวข้อที่คุณกำลังเรียนรู้ เพื่อช่วยให้คุณมุ่งเน้นและสำรวจข้อมูลที่สำคัญ เป็นการกระตุ้นความคิดและความสนใจในการเรียนรู้
  3. การสำรวจแหล่งข้อมูล ค้นหาแหล่งข้อมูลที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มความรู้และความเข้าใจในเนื้อหาที่คุณกำลังศึกษา ใช้เทคนิคการสำรวจและคัดเลือกข้อมูลที่มีคุณภาพและเชื่อถือได้ เช่น อ่านหนังสือ, ค้นคว้าในเว็บไซต์, หรืออ่านบทความทางวิชาการ
  4. การทำความเข้าใจและปฏิบัติ เมื่อคุณได้รับข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เริ่มทำความเข้าใจและปฏิบัติการเพื่อสร้างความเข้าใจที่เข้มแข็งขึ้น ใช้เทคนิคการอ่านออกเสียงหรือเขียนสรุปเพื่อช่วยให้คุณเข้าใจเนื้อหาและรักษาความจำได้ดีขึ้น ปฏิบัติโดยการสร้างสรรค์เพื่อเข้าใจและปรับปรุงความรู้ เช่น การอธิบายและสรุปเนื้อหาให้ผู้อื่นเข้าใจ, การเขียนบทความหรือรีวิวเกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียนรู้ เพื่อให้คุณมีการจดจำและเข้าใจที่ดีขึ้น
  5. การสะท้อนกลับและปรับปรุง ทำการสะท้อนกลับเพื่อประเมินความสำเร็จและความเข้าใจของคุณในเนื้อหาที่เรียนรู้ สำรวจว่าเป้าหมายการเรียนรู้ได้ถูกต้องและได้รับการบรรลุหรือไม่ รีวิวกระบวนการการเรียนรู้และการปรับปรุงในครั้งถัดไป เพื่อให้คุณสามารถพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของคุณได้อย่างต่อเนื่อง

ขั้นตอนเหล่านี้ช่วยให้คุณมีการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในกระบวนการ Active Learning ควรระมัดระวังให้มีการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการเรียนรู้ และใช้เทคนิคที่เหมาะสมกับรูปแบบการเรียนรู้ของคุณเอง เช่น การใช้เทคโนโลยีหรือการสร้างกลุ่มเรียนรู้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของคุณอย่างมากที่สุด

การจัดการเรียนรู้แบบ active learning

การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning มีขั้นตอนและกิจกรรมหลายอย่างที่คุณสามารถนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของคุณ ดังนี้

  1. วางแผนกิจกรรม เริ่มต้นด้วยการวางแผนกิจกรรมที่ต้องการทำในการเรียนรู้ กำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ที่ชัดเจน เลือกเนื้อหาหรือหัวข้อที่คุณต้องการศึกษาและวางแผนเกี่ยวกับวิธีการจัดการเรียนรู้ เช่น การสำรวจหาข้อมูล, การทดลอง, การสร้างโปรเจกต์ เป็นต้น
  2. การสร้างคำถาม ก่อนที่จะเริ่มกิจกรรมการเรียนรู้ คุณสามารถสร้างคำถามที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือหัวข้อที่คุณกำลังเรียนรู้ เพื่อกระตุ้นความคิดและส่งเสริมการสืบค้นข้อมูลที่สำคัญ คำถามนี้อาจจะใช้เป็นเกณฑ์ในการประเมินความเข้าใจและความสนใจในเนื้อหา
  3. กิจกรรมเรียนรู้เชิงปฏิบัติ ใช้กิจกรรมที่เป็น active learning เพื่อให้ผู้เรียนมีการมีส่วนร่วมและมีประสบการณ์ในการเรียนรู้ อาจเป็นการแบ่งกลุ่มทำโครงการ, การนำเสนอผลงาน, การเล่นบทบาท, การแก้ไขปัญหา หรือการสร้างสรรค์ เนื่องจากการมีการกระทำและมีส่วนร่วมในการเรียนรู้จะช่วยให้ความรู้มีความย่อยยิ่งขึ้นและเข้าใจได้ดีขึ้น
  4. การสนับสนุนและช่วยเหลือ เป็นส่วนสำคัญในการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ให้มีความประสิทธิภาพ เช่น การให้คำแนะนำ, การสอบถามและตอบคำถาม, การสนับสนุนการเรียนรู้จากผู้สอนหรือผู้รู้ เป็นต้น คุณสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นกันเองและส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนได้
  5. การประเมินและทบทวน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้แบบต่อเนื่อง คุณควรทำการประเมินผลและทบทวนเนื้อหาที่เรียนรู้ เช่น การทดสอบความรู้, การจัดกิจกรรมหรือโปรเจกต์สร้างผลงาน และการให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ในอนาคต

การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning จะช่วยให้คุณมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในการเรียนรู้ โดยการให้ความสำคัญกับการมีปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหา และการให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ที่เป็นต้นเหตุและมีประโยชน์จริง นอกจากนี้ยังส่งเสริมการพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการเรียนรู้ตลอดชีวิตของคุณ

Active Learning 03

รูปแบบวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก active learning

นี่คือตัวอย่างรูปแบบวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning

  1. การสอบถามแบบกระตุ้นความคิด ให้นักเรียนตอบคำถามเพื่อกระตุ้นความคิดและสร้างความสนใจในเนื้อหาที่เรียน คำถามนั้นอาจเป็นคำถามเปิดหรือคำถามที่มีหลายตัวเลือก และสามารถใช้เทคนิคเปิดเผยคำตอบเองของนักเรียนหรือสร้างโจทย์ให้กับผู้อื่นในกลุ่ม
  2. การกำหนดโจทย์แก้ปัญหา ให้นักเรียนทำการแก้ไขปัญหาจริงหรือภาวะสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรียน โจทย์สามารถเป็นโจทย์เปิดหรือโจทย์ที่กำหนดข้อกำหนดและเงื่อนไขให้เพื่อให้นักเรียนใช้ความรู้และทักษะที่ได้เรียนรู้มาแก้ไขปัญหา
  3. การศึกษาเบื้องหลังแบบสืบค้น ให้นักเรียนทำการสืบค้นและศึกษาเกี่ยวกับเนื้อหาหรือปัญหาที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างของกิจกรรมนี้อาจเป็นการวิเคราะห์ข้อมูล, การอ่านหนังสือหรือบทความทางวิชาการ, การวิจัยออนไลน์, หรือการศึกษาเครื่องมือหรือแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
  4. การทำโปรเจกต์หรืองานสร้างสรรค์ ให้นักเรียนทำโปรเจกต์หรืองานสร้างสรรค์รูปแบบวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning เชิงรุกยังมีอีกหลายรูปแบบ ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างเพิ่มเติม
  5. การเล่นบทบาทหรือการจำลองสถานการณ์ ให้นักเรียนเล่นบทบาทหรือจำลองสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรียน นักเรียนสามารถแสดงบทบาทหรือสร้างสถานการณ์เพื่อทดลองและเรียนรู้เกี่ยวกับผลกระทบและความสัมพันธ์ในบทบาทหรือสถานการณ์นั้น
  6. การสร้างโปรเจกต์หรือผลงานที่มีต้นแบบ ให้นักเรียนทำการสร้างโปรเจกต์หรือผลงานที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรียนรู้ นักเรียนสามารถสร้างแบบจำลอง, สร้างสื่อการสอน, สร้างภาพถ่ายหรือวิดีโอ, หรือสร้างผลงานทางศิลปะที่เชื่อมโยงกับเนื้อหาได้
  7. การออกแบบและการแก้ปัญหา ให้นักเรียนออกแบบและแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรียน อาจเป็นการออกแบบโครงสร้าง, การแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ทางคณิตศาสตร์, การพัฒนาแผนธุรกิจ เป็นต้น
  8. การโต้ตอบและการสนับสนุนความคิด ให้นักเรียนมีการโต้ตอบกับผู้อื่นหรือกลุ่มในเรื่องที่เรียนรู้ และให้คำแนะนำหรือสนับสนุนความมติฐาน ด้วยสภาวะของนกเขาเที่ยวเดินเล่นในป่า ที่ต้องใช้ทักษะในการวางแผน การเรียนรู้แบบ Active Learning สามารถจัดกิจกรรมได้ดังนี้
  9. การสำรวจและสังเกต ให้นักเรียนไปสำรวจและสังเกตนกเขาในธรรมชาติ โดยสามารถใช้กล้องถ่ายรูปหรือกล้องวิดีโอเพื่อบันทึกการเคลื่อนไหวและพฤติกรรมของนกเขาได้
  10. การศึกษาและการสำรวจข้อมูล ให้นักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับนกเขา ได้แก่ ลักษณะทางกายภาพ พฤติกรรม หรือสภาพอากาศที่เขาชอบอยู่ โดยใช้แหล่งข้อมูลทางออนไลน์หรือหนังสือ
  11. การวางแผนการสังเกตและบันทึก ให้นักเรียนวางแผนการสังเกตและบันทึกข้อมูลที่ได้รับ เช่น การสังเกตลักษณะทางกายภาพของนกเขา ระยะเวลาในการเคลื่อนไหว หรือพฤติกรรมที่น่าสนใจ เพื่อนำมาวิเคราะห์และประเมินผลในภายหลัง
  12. การสรุปและการนำเสนอผลการเรียนรู้ ให้นักเรียนสรุปข้อมูลที่ได้รับ และนำเสนอผลการสังเกตและวิเคราะห์ของตนเอง อาจเป็นการสร้างสื่อการนำเสนอหรือรายงานเป็นต้น

ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning เชิงรุกเหล่านี้

Active Learning 02

active learning มีอะไรบ้าง

Active Learning คือการแนะนำกระบวนการการเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมและมีการกระทำในการเรียนรู้เพิ่มขึ้น ซึ่งมีหลายรูปแบบและเทคนิคที่นำมาใช้ เช่น

  1. การสอบถามและโจทย์ท้าทาย การใช้คำถามที่มีความท้าทายและกระตุ้นความคิด เพื่อให้ผู้เรียนได้มีการค้นคว้าและแก้ไขปัญหาเอง
  2. การแก้ปัญหาแบบกลุ่ม การจัดกิจกรรมที่ผู้เรียนต้องทำงานร่วมกับผู้อื่นเพื่อแก้ไขปัญหาหรือเรียนรู้เนื้อหาที่ซับซ้อน
  3. การทดลองและการปฏิบัติจริง การให้ผู้เรียนมีประสบการณ์จริงในการทดลองหรือปฏิบัติเพื่อเรียนรู้และได้รับการฝึกฝนทักษะต่าง ๆ
  4. การแข่งขันและเกม การใช้เกมหรือกิจกรรมที่มีการแข่งขันในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อสร้างความสนใจและแรงจูงใจในการเรียนรู้
  5. การสร้างสื่อการเรียนรู้ การให้ผู้เรียนสร้างสื่อการเรียนรู้ เช่น การสร้างวิดีโอ, การออกแบบนิทาน, หรือการสร้างแผนภูมิแบบกราฟ
  6. การสนับสนุนแบบสม่ำเสมอ การให้คำแนะนำและการสนับสนุนตลอดระยะเวลาการเรียนรู้ เพื่อสร้างความมั่นใจและแรงจูงใจในการเรียนรู้
  7. การสำรวจและการค้นคว้า การให้ผู้เรียนมีโอกาสสำรวจและค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรียน อาจเป็นการใช้เทคนิคการค้นคว้าในห้องสมุดหรือออนไลน์ เพื่อเพิ่มความรู้และความเข้าใจในเนื้อหา
  8. การพูดหรือการนำเสนอ การให้ผู้เรียนมีโอกาสพูดหรือนำเสนอเนื้อหาที่เรียน สามารถเป็นการบรรยาย, การสร้างสื่อการนำเสนอ, หรือการถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้อื่นในกลุ่ม
  9. การฝึกฝนทักษะการแก้ปัญหา การให้ผู้เรียนฝึกฝนทักษะในการแก้ปัญหา เช่น การใช้เทคนิคการแยกส่วนปัญหา, การตัดสินใจ, หรือการวิเคราะห์และสรุปข้อมูล
  10. การเรียนรู้ผ่านการสังคม การให้ผู้เรียนมีโอกาสทำงานร่วมกับผู้อื่นในกลุ่ม แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ เพื่อเพิ่มการเรียนรู้และมุมมองทางสังคม
  11. การออกแบบโครงการหรืองานสร้างสรรค์ การให้ผู้เรียนออกแบบและสร้างโครงการหรืองานสร้างสรรค์ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรียน ซึ่งต้องใช้ทักษะและความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ไขปัญหาหรือสร้างสิ่งใหม่
  12. การสรุปและการวิเคราะห์ การให้ผู้เรียนสรุปข้อมูลที่ได้รับและวิเคราะห์เนื้อหาที่เรียนรู้ เช่น การสรุปสาระสำคัญ, การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์หรือสาเหตุผลในเนื้อหา
  13. การเรียนรู้ผ่านการสอบถาม การให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการสอบถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจและความรู้ เช่น การทำแบบทดสอบ, การเลือกตอบคำถาม, หรือการแก้ปัญหาในรูปแบบการสอบถาม
  14. การสร้างสภาพแวดล้อมเรียนรู้ที่ให้ความเป็นอิสระ การสร้างสภาพแวดล้อมที่ผู้เรียนสามารถมีความเป็นอิสระในการเรียนรู้และการเลือกทางเลือกในการศึกษา เช่น การให้เวลาสำหรับการเรียนรู้ด้วยตนเองหรือการเลือกหัวข้อที่สนใจ
  15. การใช้เทคโนโลยีในการเรียนรู้ การนำเอาเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันมาใช้ในกระบวนการเรียนรู้ เช่น การใช้แอปพลิเคชันการเรียนรู้, การสนับสนุนการเรียนรู้ออนไลน์, หรือการใช้เครื่องมือสื่อสารอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้
  16. การสร้างโอกาสในการแสดงความคิดเห็นและพูดคุย การให้ผู้เรียนมีโอกาสแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือพูดคุยเกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียน ซึ่งสามารถทำได้ผ่านการสร้างกระแสการสนทนาหรือการอภิปรายในห้องเรียน หรือผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เปิดให้เกิดการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
  17. การเรียนรู้ทางปฏิบัติ การให้ผู้เรียนมีโอกาสทำกิจกรรมทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา เช่น การฝึกฝนทักษะทางวิชาชีพ, การฝึกทักษะทางศิลปะ, หรือการฝึกทักษะทางกายภาพ
  18. การเรียนรู้แบบปฏิสัมพันธ์ การให้ผู้เรียนมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียนรู้และกลุ่มเพื่อสร้างการเรียนรู้ที่เป็นประสบการณ์และสร้างความสัมพันธ์ในการเรียนรู้
  19. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้นอกสถานที่ การให้ผู้เรียนมีโอกาสเรียนรู้นอกสถานที่ เช่น การเข้าชมสถานที่ทางวิทยาศาสตร์, การเข้าร่วมกิจกรรมวิชาการนอกสถานที่ เพื่อสร้างประสบการณ์และการเรียนรู้ที่หลากหลาย
  20. การเรียนรู้แบบร่วมมือ การให้ผู้เรียนมีโอกาสทำงานร่วมกับผู้อื่นในกลุ่ม เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและความรู้ และเรียนรู้จากประสบการณ์และมุมมองของผู้อื่น
  21. การเรียนรู้ผ่านการสังคมออนไลน์ การใช้แพลตฟอร์มสังคมออนไลน์เพื่อเรียนรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อื่น ซึ่งสามารถเป็นผ่านการเข้าร่วมกลุ่มเรียนหรือชุมชนการเรียนรู้ออนไลน์
  22. การนำเสนอและสื่อสาร การให้ผู้เรียนมีโอกาสทำการนำเสนอหรือสื่อสารเนื้อหาที่เรียน ซึ่งสามารถเป็นการนำเสนอทางด้านข้อเสนอแนะ, การนำเสนอผลงาน, หรือการสื่อสารแบบอื่น ๆ
  23. การปฏิบัติฝึกงานหรือการศึกษานอกห้องเรียน การให้ผู้เรียนมีโอกาสไปปฏิบัติฝึกงานหรือศึกษานอกห้องเรียน เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์และความรู้ที่ได้รับจากการปฏิบัติจริงในสถานที่ต่าง ๆ
  24. การเรียนรู้ตลอดชีวิต การสร้างการเรียนรู้ที่ยังคงอยู่และพัฒนาตลอดชีวิต โดยให้ผู้เรียนมีการเรียนรู้และพัฒนาทักษะในระยะยาว ผ่านการอ่านหนังสือ, การเรียนออนไลน์, การเข้าร่วมอบรมหรือสัมมนา เป็นต้น
  25. การวิจัยและการสร้างความรู้ใหม่ การเรียนรู้ผ่านกระบวนการวิจัยและการสร้างความรู้ใหม่ เช่น การทดลอง, การสร้างแบบจำลอง, หรือการสืบค้นเพิ่มเติมในการวิจัยและการสร้างความรู้ใหม่
  26. การเรียนรู้ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูล การให้ผู้เรียนทำการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลเพื่อสร้างความเข้าใจและความรู้ในเนื้อหาที่เรียน อาจเป็นการวิเคราะห์แผนภูมิ, การสร้างกราฟ, หรือการวิเคราะห์ข้อมูลสถิติ
  27. การแสดงความคิดเห็นและการเรียนรู้ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ การให้ผู้เรียนมีโอกาสแสดงความคิดเห็นและเรียนรู้ผ่านแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์ เช่น การอภิปรายในรายชื่อผู้ใช้หรือกระทู้เว็บบอร์ดที่เกี่ยวข้อง
  28. การเรียนรู้ผ่านการเขียนและการสร้างเนื้อหา การให้ผู้เรียนมีโอกาสสร้างเนื้อหาเอง เช่น เขียนบทความ, สร้างบทความเว็บไซต์, หรือสร้างวิดีโอการสอน เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้และการแสดงความเข้าใจในเนื้อหา
  29. การนำเสนอและการแบ่งปันความรู้ การให้ผู้เรียนมีโอกาสนำเสนอหรือแบ่งปันความรู้ที่ได้รับจากการเรียนรู้กับผู้อื่น อาจเป็นผ่านการนำเสนอหน้าประชุม, การแสดงผลงานในงานสัมมนา, หรือการแบ่งปันผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
  30. การประเมินและการกลับมาทบทวน การให้นักเรียนมีโอกาสทำกิจกรรมต่อไป
  31. การเรียนรู้ผ่านการตรวจสอบและการแก้ไขข้อผิดพลาด ให้นักเรียนมีโอกาสตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในการเรียนรู้ เช่น การตรวจสอบและแก้ไขข้อบกพร่องในการเขียนหรือการคำนวณ
  32. การเรียนรู้ผ่านการเข้าร่วมโครงการหรือกิจกรรมภายนอก ให้นักเรียนมีโอกาสเข้าร่วมโครงการหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรียน อาจเป็นการเข้าร่วมโครงการวิจัย, การเข้าร่วมการแข่งขันทางวิทยาศาสตร์, หรือการเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ที่องค์กรหรือสถาบันศึกษา
  33. การเรียนรู้ผ่านการสร้างโครงการหรือผลงานสร้างสรรค์ ให้นักเรียนมีโอกาสสร้างโครงการหรือผลงานสร้างสรรค์ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรียน อาจเป็นการสร้างแผนภูมิข้อมูล, การออกแบบแอปพลิเคชัน, หรือการสร้างสื่อการสอนใหม่
  34. การเรียนรู้ผ่านการเก็บรวบรวมข้อมูล ให้นักเรียนมีโอกาสเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรียน อาจเป็นการสำรวจสถิติ, การสำรวจความคิดเห็น, หรือการเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ
  35. การเรียนรู้ผ่านการพัฒนาทักษะเชิงอารมณ์และทักษะเชิงสังคม ให้นักเรียนมีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาทักษะเชิงอารมณ์เช่น การควบคุมอารมณ์, การจัดการความเครียด และการพัฒนาทักษะเชิงสังคมเช่น การทำงานเป็นทีม, การสื่อสาร, และการแก้ไขขัดแย้ง
  36. การเรียนรู้ผ่านการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมภายนอก ให้นักเรียนมีโอกาสไปสำรวจและเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมภายนอกห้องเรียน เช่น การทำงานกับภาครัฐหรือองค์กรภาคเอกชน เพื่อเข้าใจและเรียนรู้เกี่ยวกับแง่มุมทางสังคมและเศรษฐกิจ
  37. การเรียนรู้ผ่านการศึกษากรณี ให้นักเรียนมีโอกาสศึกษากรณีจริงเพื่อเรียนรู้และวิเคราะห์สถานการณ์หรือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรียน การศึกษากรณีช่วยให้นักเรียนมีความเข้าใจลึกซึ้งและการประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์จริง
  38. การเรียนรู้ผ่านการเป็นสมาชิกในชุมชนการเรียนรู้ ให้นักเรียนมีโอกาสเข้าร่วมและเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนการเรียนรู้ที่มีความสนใจเดียวกัน ซึ่งชุมชนเหล่านี้อาจเป็นชุมชนออนไลน์
  39. การเรียนรู้ผ่านการสนับสนุนและการแนะนำ ให้นักเรียนได้รับการสนับสนุนและการแนะนำจากผู้ใหญ่ เช่น ครูผู้ควบคุมชั้นเรียน, พ่อแม่, หรือผู้ปกครอง เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นและการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ
  40. การเรียนรู้ผ่านการพัฒนาทักษะเชิงอัตคัด ให้นักเรียนมีโอกาสพัฒนาทักษะเชิงอัตคัด เช่น การวางแผนการเรียนรู้, การตั้งเป้าหมาย, การบริหารเวลา ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในการเรียนรู้และการประสบความสำเร็จในชีวิต

ตัวอย่างการจัดการเรียนรู้แบบ active learning

ตัวอย่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning ที่อาจถูกนำมาใช้ได้แก่

  1. การสอบถามและโจทย์ท้าทาย ให้นักเรียนเขียนคำถามที่ท้าทายและกระตุ้นความคิดเพื่อแก้ไขปัญหาเอง แล้วแลกเปลี่ยนคำถามกันเพื่อให้กลุ่มคนอื่นตอบคำถาม
  2. การแก้ปัญหาแบบกลุ่ม จัดกิจกรรมที่นักเรียนต้องทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาหรือเรียนรู้เนื้อหาที่ซับซ้อน โดยแบ่งหมวดหมู่หรือแบ่งกลุ่มเพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วมในกระบวนการแก้ไขปัญหา
  3. การทดลองและการปฏิบัติจริง ให้นักเรียนมีประสบการณ์จริงในการทดลองหรือปฏิบัติเพื่อเรียนรู้และได้รับการฝึกฝนทักษะต่าง ๆ อาจเป็นการทดลองทางวิทยาศาสตร์หรือการฝึกทักษะทางศิลปะ
  4. การแข่งขันและเกม ใช้เกมหรือกิจกรรมที่มีการแข่งขันในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อสร้างความสนใจและแรงจูงใจในการเรียนรู้ เช่น การแข่งขันทางวิทยาศาสตร์, การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์
  5. การสร้างสื่อการเรียนรู้ ให้นักเรียนสร้างสื่อการเรียนรู้เอง เช่น การสร้างวิดีโอ, การออกแบบนิทาน, หรือการสร้างแผนภูมิแบบ

หลักการสำคัญของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก active learning

หลักการสำคัญของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ได้แก่

10 การเรียนรู้เชิงรุก

  1. การเป็นผู้เรียนกำลังคิด (Learner-Centered) การให้นักเรียนเป็นตัวกลางของกระบวนการเรียนรู้ โดยให้พื้นที่และโอกาสในการเรียนรู้ที่เข้าถึงและปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการและสิ่งที่สนใจ
  2. การเรียนรู้แบบปฏิสัมพันธ์ การเรียนรู้ที่เน้นการติดต่อสื่อสารและการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้เรียน โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนสนทนา, แบ่งปันความคิดเห็น และทำงานร่วมกัน
  3. การเรียนรู้ผ่านการทำกิจกรรมและการปฏิบัติจริง การให้นักเรียนมีโอกาสทำกิจกรรมและการฝึกทักษะในสภาวะจริง ซึ่งช่วยให้นักเรียนมีประสบการณ์และการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน
  4. การเรียนรู้ผ่านการสร้างสรรค์ การให้นักเรียนมีโอกาสสร้างสรรค์ผลงานหรือความคิดใหม่โดยใช้ทักษะและความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และความก้าวหน้าในการเรียนรู้
  5. การเรียนรู้ผ่านการแก้ปัญหา การให้นักเรียนมีโอกาสและการสนับสนุนในการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรียน
  6. การเรียนรู้ผ่านการสอบถามและการสำรวจ ให้นักเรียนมีโอกาสสอบถามและสำรวจความรู้ในเนื้อหาที่เรียน โดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ เช่น แบบสอบถาม, การสำรวจออนไลน์ หรือการสร้างสารสนเทศที่ผู้เรียนสามารถตอบคำถามได้
  7. การเรียนรู้ผ่านการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหา ให้นักเรียนเชื่อมโยงเนื้อหาที่เรียนรู้กับประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน โดยให้พื้นที่ในการสนทนาเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและการนำความรู้ไปใช้ในสถานการณ์จริง
  8. การเรียนรู้ผ่านการเป็นผู้สร้างความรู้ ให้นักเรียนมีโอกาสสร้างความรู้ใหม่โดยใช้เครื่องมือหรือทรัพยากรที่มีอยู่ อาจเป็นการทำโครงงานวิจัย, การสร้างแผนที่ความรู้, หรือการเรียนรู้อิสระเพื่อสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้ง
  9. การเรียนรู้ผ่านการอภิปรายและการส่งเสริมความคิดวิเคราะห์ ให้นักเรียนมีโอกาสอภิปรายและตีความในเนื้อหาที่เรียน โดยส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ การวิเคราะห์ข้อมูล และการพัฒนาทักษะคิดเชิงวิพากษ์
  10. การเรียนรู้ผ่านการสร้างทรัพยากรการเรียนรู้ ให้การเรียนรู้ผ่านการสร้างทรัพยากรการเรียนรู้ เช่น การสร้างเอกสารการเรียนรู้, วีดีโอการสอน, แผนการเรียนรู้, หรือเกมการเรียนรู้ ซึ่งช่วยสร้างสรรค์และแบ่งปันความรู้กับผู้เรียนคนอื่น

หลักการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เน้นการให้นักเรียนมีบทบาทและความรับผิดชอบในกระบวนการเรียนรู้ เพื่อสร้างความตั้งใจและความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ เน้นการสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งและการนำไปใช้ในสถานการณ์จริง และส่งเสริมการพัฒนาทักษะการคิด เช่น การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการสื่อสาร

การใช้ Active Learning ช่วยในการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่น่าสนใจและได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้นักเรียนมีส่วนร่วมและการเป็นผู้กำหนดเส้นทางในการเรียนรู้ ผ่านการทำกิจกรรมที่หลากหลาย การแก้ปัญหา การสอบถาม การสร้างสื่อการเรียนรู้ และการทำงานร่วมกับผู้อื่น

ดังนั้น การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและการพัฒนาทักษะต่าง ๆ ของนักเรียนในสถานการณ์การเรียนรู้ที่ท้าทายและน่าสนใจ

อ่านบทความทั้งหมด >>> pangpond.com