ปก flipped classroom

3 Flipped classroom ขั้นตอนการสอนแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน?

การปรับใช้แนวคิดการเรียนรู้แบบกลับหัวข้อ (Flipped Learning) ในการสอนและเรียนรู้

แนวคิดการเรียนรู้แบบกลับหัวข้อหรือ Flipped Learning เป็นแนวคิดที่ต่างจากวิธีการสอนแบบ传统ในระบบการศึกษาทั่วไป ซึ่งการเรียนรู้แบบกลับหัวข้อนั้นให้นักเรียนทำความเข้าใจและศึกษาเนื้อหาของบทเรียนก่อนเข้าห้องเรียน โดยใช้สื่อต่าง ๆ เช่น วิดีโอการสอน โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เว็บไซต์ หรือคำแนะนำจากครูผ่านออนไลน์ ในขณะที่เวลาในห้องเรียนจะถูกใช้ในการฝึกปฏิบัติและการสนทนากลุ่มของนักเรียน โดยทั่วไปแล้ว ขั้นตอนการเรียนรู้แบบกลับหัวข้อประกอบด้วย

3 วิธี การเรียนรู้แบบกลับหัว

  1. การศึกษาเนื้อหาก่อนการเข้าเรียน: นักเรียนได้รับสื่อการเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น วิดีโอการสอน โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เว็บไซต์ เอกสาร หรือคำแนะนำจากครูผ่านออนไลน์ เพื่อให้นักเรียนได้รับข้อมูลพื้นฐานและความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับเนื้อหาที่จะเรียนในชั้นเรียนถัดไป

  2. การปฏิบัติการในห้องเรียน: ในชั้นเรียนนักเรียนจะมีโอกาสฝึกปฏิบัติและใช้ความรู้ที่ได้ศึกษามาในการแก้ปัญหา ทำการทดลอง ฝึกฝนทักษะหรือการแสดงผลในรูปแบบต่าง ๆ โดยครูจะเป็นผู้ควบคุมกระบวนการเรียนรู้และให้คำแนะนำเพิ่มเติมตามความจำเป็น

  3. การศึกษาเสริมที่บ้าน: หลังจากการเรียนในห้องเรียนสิ้นสุดลง นักเรียนจะต้องฝึกฝนและเข้าใจเนื้อหาเพิ่มเติมด้วยตนเอง โดยใช้เวลาเต็มที่เพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม เขียนสรุป แก้ไขแบบฝึกหัด หรือเตรียมตัวสำหรับการทดสอบ

ผลกระทบที่ดีที่สุดของการใช้แนวคิด Flipped Learning คือการกระตุ้นให้นักเรียนมีการเรียนรู้ที่มีความรู้ความเข้าใจที่ดีขึ้น โดยที่ครูเป็นผู้ให้คำแนะนำและควบคุมกระบวนการเรียนรู้อย่างเข้มแข็งมากขึ้นในชั้นเรียน นักเรียนมีโอกาสในการฝึกปฏิบัติและเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากพวกเขาได้รับความรู้พื้นฐานก่อนเข้าเรียน นอกจากนี้ นักเรียนยังสามารถศึกษาเพิ่มเติมที่บ้านและกลุ่มการเรียนรู้เพื่อเสริมความรู้และความเข้าใจในเนื้อหาได้อีกด้วย

Flipped classroom ขั้นตอน

ขั้นตอนในการปฏิบัติ Flipped Classroom ประกอบด้วย

ขั้นตอนในการปฏิบัติ Flipped Classroom

  1. วางแผนการสอน: ครูจะต้องวางแผนการสอนโดยระบุวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่ต้องการให้นักเรียนเตรียมความรู้ก่อนเข้าห้องเรียน โดยเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมและสามารถนำมาเรียนรู้ได้ด้วยสื่อต่าง ๆ เช่น วิดีโอการสอน โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เว็บไซต์ เอกสาร หรือคำแนะนำผ่านออนไลน์

  2. การเตรียมคลิปวิดีโอหรือสื่อการเรียนรู้: ครูจะสร้างคลิปวิดีโอการสอนหรือสื่อการเรียนรู้ที่เป็นไปตามแผนการสอนที่กำหนด หรือใช้สื่อการเรียนรู้ที่มีอยู่แล้วที่เป็นไปตามความเหมาะสม

  3. การเผยแพร่สื่อการเรียนรู้: คลิปวิดีโอหรือสื่อการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นจะถูกเผยแพร่ให้นักเรียนเข้าถึงผ่านช่องทางที่กำหนด เช่น เว็บไซต์การเรียนรู้ หรือแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ นักเรียนจะต้องมีการเตรียมตัวเรียนรู้ด้วยตนเองก่อนเข้าห้องเรียน

  4. การศึกษาในห้องเรียน: ในชั้นเรียน ครูจะใช้เวลาให้กับนักเรียนในการแก้ไขปัญหา การฝึกทักษะ การทดลอง หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรียนมาในช่วงการศึกษาเพิ่มเติม ครูจะสนับสนุนและให้คำแนะนำเพิ่มเติมตามความจำเป็น

  5. การศึกษาเสริมที่บ้าน: หลังการเรียนในห้องเรียนสิ้นสุดลง นักเรียนจะต้องฝึกฝนและเข้าใจเนื้อหาเพิ่มเติมด้วยตนเอง โดยใช้เวลาที่บ้านให้ครบที่สุดเพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม เขียนสรุป แก้ไขแบบฝึกหัด หรือเตรียมตัวสำหรับการทดสอบ

การปรับใช้ Flipped Classroom ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของนักเรียน เนื่องจากนักเรียนสามารถเรียนรู้ตามอัตราการตัวของตนเองและสามารถใช้เวลาในชั้นเรียนให้เป็นประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ยังสร้างโอกาสให้นักเรียนฝึกการแก้ปัญหา ทักษะคิดวิเคราะห์ และการทำงานเป็นทีมในระหว่างเวลาเรียนในห้องเรียน

แผนการสอนแบบ Flipped classroom

นี่คือแผนการสอนแบบ Flipped Classroom ที่สามารถนำมาปรับใช้ได้:

ขั้นตอนที่ 1: วางแผนการสอน

  • กำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่ต้องการให้นักเรียนเตรียมความรู้ก่อนเข้าห้องเรียน
  • เลือกเนื้อหาที่เหมาะสมและสามารถนำมาเรียนรู้ได้ด้วยสื่อต่าง ๆ เช่น วิดีโอการสอน โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เว็บไซต์ เอกสาร หรือคำแนะนำผ่านออนไลน์
  • สร้างแผนการสอนที่ระบุการเรียนรู้และกิจกรรมที่นักเรียนจะทำในชั้นเรียน

ขั้นตอนที่ 2: เตรียมสื่อการเรียนรู้

  • สร้างคลิปวิดีโอการสอนหรือสื่อการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับแผนการสอน
  • ตรวจสอบและแก้ไขสื่อการเรียนรู้เพื่อให้มีคุณภาพสูงและเข้าใจง่ายต่อนักเรียน
  • เผยแพร่สื่อการเรียนรู้ให้นักเรียนเข้าถึงผ่านช่องทางที่กำหนด เช่น เว็บไซต์การเรียนรู้ หรือแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์

ขั้นตอนที่ 3: การเรียนในห้องเรียน

  • ในชั้นเรียนนักเรียนจะมีโอกาสในการฝึกปฏิบัติและใช้ความรู้ที่ได้ศึกษามาในการแก้ไขปัญหา การทดลอง หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรียนมาในช่วงการศึกษาแล้ว
  • ครูจะสนับสนุนและให้คำแนะนำเพิ่มเติมตามความจำเป็น เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจและเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขั้นตอนที่ 4: การศึกษาเสริมที่บ้าน

  • หลังจากการเรียนในห้องเรียนสิ้นสุดลง นักเรียนจะต้องฝึกฝนและเข้าใจเนื้อหาเพิ่มเติมด้วยตนเองที่บ้าน
  • นักเรียนสามารถใช้เวลาในการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม เขียนสรุป แก้ไขแบบฝึกหัด หรือเตรียมตัวสำหรับการทดสอบ

ผ่านแผนการสอนแบบ Flipped Classroom นี้ นักเรียนจะได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ที่เป็นมิตรกับนักเรียนเพราะสามารถศึกษาและเรียนรู้ด้วยตนเองก่อนเข้าห้องเรียน และมีโอกาสในการฝึกปฏิบัติและแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียนที่สร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างเต็มที่

flipped classroom 02

แผนการ สอน Flipped classroom ภาษาไทย

นี่คือแผนการสอนแบบ Flipped Classroom ที่เป็นภาษาไทย:

ขั้นตอนที่ 1: วางแผนการสอน

  • กำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่ต้องการให้นักเรียนเตรียมความรู้ก่อนเข้าห้องเรียน
  • เลือกเนื้อหาที่เหมาะสมและสามารถนำมาเรียนรู้ได้ด้วยสื่อต่าง ๆ เช่น วิดีโอการสอน โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เว็บไซต์ เอกสาร หรือคำแนะนำผ่านออนไลน์
  • สร้างแผนการสอนที่ระบุการเรียนรู้และกิจกรรมที่นักเรียนจะทำในชั้นเรียน

ขั้นตอนที่ 2: เตรียมสื่อการเรียนรู้

  • สร้างคลิปวิดีโอการสอนหรือสื่อการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับแผนการสอน
  • ตรวจสอบและแก้ไขสื่อการเรียนรู้เพื่อให้มีคุณภาพสูงและเข้าใจง่ายต่อนักเรียน
  • เผยแพร่สื่อการเรียนรู้ให้นักเรียนเข้าถึงผ่านช่องทางที่กำหนด เช่น เว็บไซต์การเรียนรู้ หรือแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์

ขั้นตอนที่ 3: การเรียนในห้องเรียน

  • ในชั้นเรียนนักเรียนจะมีโอกาสในการฝึกปฏิบัติและใช้ความรู้ที่ได้ศึกษามาในการแก้ไขปัญหา การทดลอง หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรียนมาในช่วงการศึกษาแล้ว
  • ครูจะสนับสนุนและให้คำแนะนำเพิ่มเติมตามความจำเป็น เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจและเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขั้นตอนที่ 4: การศึกษาเสริมที่บ้าน

  • หลังจากการเรียนในห้องเรียนสิ้นสุดลง นักเรียนจะต้องฝึกฝนและเข้าใจเนื้อหาเพิ่มเติมด้วยตนเองที่บ้าน
  • นักเรียนสามารถใช้เวลาในการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม เขียนสรุป แก้ไขแบบฝึกหัด หรือเตรียมตัวสำหรับการทดสอบ

ผ่านแผนการสอนแบบ Flipped Classroom นี้ นักเรียนจะได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ที่เป็นมิตรกับนักเรียนเพราะสามารถศึกษาและเรียนรู้ด้วยตนเองก่อนเข้าห้องเรียน และมีโอกาสในการฝึกปฏิบัติและแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียนที่สร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างเต็มที่

แผนการสอน Flipped classroom ภาษาอังกฤษ

นี่คือแผนการสอนแบบ Flipped Classroom ที่เป็นภาษาอังกฤษ:

ขั้นตอนที่ 1: วางแผนการสอน

  • Define the learning objectives that students need to prepare before coming to the classroom.
  • Select appropriate content that can be learned using various media such as instructional videos, computer programs, websites, documents, or online guidance.
  • Create a lesson plan that specifies the learning objectives and activities that students will engage in during the classroom session.

ขั้นตอนที่ 2: Prepare learning materials

  • Create instructional videos or learning materials that align with the lesson plan.
  • Review and edit the learning materials to ensure high quality and easy understanding for students.
  • Publish the learning materials through designated channels, such as learning websites or online learning platforms.

ขั้นตอนที่ 3: In-class learning

  • During the classroom session, students will have the opportunity to practice and apply the knowledge they have acquired to solve problems, conduct experiments, or engage in activities related to the learned content.
  • The teacher will provide support and additional guidance as necessary to help students understand and learn effectively.

ขั้นตอนที่ 4: Reinforcement at home

  • After the in-class learning session ends, students are expected to practice and further understand the content on their own at home.
  • Students can use their home time to study additional materials, summarize their learning, complete practice exercises, or prepare for assessments.

By implementing this Flipped Classroom plan, students will experience a learner-centered approach where they can study and learn on their own before coming to the classroom. They will have the opportunity to actively engage in problem-solving, critical thinking, and collaborative work during classroom sessions that are designed to support their learning.

Flipped classroom

แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน

Flipped Classroom หรือ แนวคิดการเรียนรู้แบบกลับหัวข้อคือวิธีการสอนที่กลับด้านจากแบบดั้งเดิมของการเรียนในห้องเรียน เนื้อหาการเรียนรู้ถูกนำเสนอให้นักเรียนศึกษาไว้ก่อนเข้าห้องเรียน โดยมักจะใช้สื่อต่าง ๆ เช่น วิดีโอการสอนที่ถูกบันทึกไว้ล่วงหน้า เนื้อหาออนไลน์ เอกสารหรือบทความ หรือกิจกรรมเสริมการเรียนรู้อื่น ๆ ในขณะที่เวลาในห้องเรียนจะถูกใช้ในการฝึกฝน สร้างความเข้าใจลึกซึ้ง และสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียน

แนวคิดนี้มีจุดมุ่งหมายในการส่งเสริมการเรียนรู้ที่เป็นกิจกรรมและร่วมมือของนักเรียน ให้นักเรียนสามารถศึกษาและตระหนักถึงเนื้อหาก่อนหน้านั้นได้เอง และใช้เวลาในห้องเรียนเพื่อการฝึกปฏิบัติและกิจกรรมที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ การสนทนา และการทำงานเป็นทีม ซึ่งครูจะเป็นผู้สนับสนุนและให้คำแนะนำเพิ่มเติมในระหว่างกระบวนการเรียนรู้ในห้องเรียน

แนวคิด Flipped Classroom มีประโยชน์อย่างมากในการสร้างการเรียนรู้ที่นักเรียนมีส่วนร่วมสูงขึ้น กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ และสร้างสภาพเรียนที่เต็มไปด้วยความเคลื่อนไหวและมีชีวิตชีวา นอกจากนี้ยังส่งผลให้นักเรียนมีความยืดหยุ่นในการเรียนรู้และสามารถจัดการเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเข้าใจเนื้อหาได้ดีมากขึ้น อีกทั้งยังส่งเสริมให้นักเรียนมีความรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตนเองเนื่องจากมีส่วนร่วมและได้รับการสนับสนุนในกระบวนการเรียนรู้ของตนเอง

แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน

“แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน” (Flipped Classroom) เป็นแนวคิดการสอนที่กลับกันมาจากแบบดั้งเดิมของการสอนในห้องเรียน ในแนวคิดนี้ กิจกรรมการเรียนรู้ในห้องเรียนและนอกห้องเรียนถูกสลับกันไป ความแตกต่างก็คือการนำเนื้อหาการเรียนรู้มาให้นักเรียนศึกษาก่อนการเรียนในห้องเรียน ซึ่งนักเรียนสามารถเรียนรู้เนื้อหาด้วยตนเองโดยใช้สื่อต่าง ๆ เช่นวิดีโอการสอน การอ่านหนังสือ หรือเว็บไซต์การเรียนรู้ ก่อนที่จะเข้าห้องเรียน

เมื่อนักเรียนเข้าห้องเรียน กิจกรรมในชั้นเรียนจะเน้นการฝึกฝนการปฏิบัติ การสนทนา การทำความเข้าใจลึกซึ้ง และการทำงานเป็นกลุ่ม ซึ่งครูจะเป็นผู้สนับสนุนและให้คำแนะนำเพิ่มเติมตามความจำเป็น ผลลัพธ์ของแนวคิดห้องเรียนกลับด้านเป็นการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่นักเรียนมีส่วนร่วมสูงขึ้น กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ และสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งในนักเรียน นอกจากนี้ยังส่งผลให้นักเรียนมีความยืดหยุ่นในการเรียนรู้และสามารถจัดการเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังส่งเสริมให้นักเรียนมีความรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตนเองเนื่องจากมีส่วนร่วมและได้รับการสนับสนุนในกระบวนการเรียนรู้ของตนเอง

อ่านบทความทั้งหมด >>> pangpond.com