ชั่วโมง แจ้งสภาวิชาชีพบัญชี อบรมจรรยาบรรณครบจบ 2 ชั่วโมง?
สภาวิชาชีพบัญชี สภาวิชาชีพบัญชี login สมาชิกสภาวิชาชีพบัญชี วิชาชีพบัญชี หมายถึง สภาวิชาชีพบัญชี เก็บชั่วโมง สภาวิชาชีพบัญชี คือ สภาวิชาชีพบัญชี ต่ออายุ
แนวคิดการเรียนรู้แบบครอบคลุม (Holistic Learning) เป็นกรอบการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์ในการเรียนรู้ โดยการเน้นที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจแบบเป็นระบบทั้งสิ้น โดยใช้การผสมผสานของทักษะทางด้านสมองและสามารถปรับเปลี่ยนและใช้ความรู้ที่ได้เรียนรู้ในทางปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นี่คือวิธีการใช้แนวคิดการเรียนรู้แบบครอบคลุม
การเรียนรู้ทางสมอง เน้นการเรียนรู้ที่ใช้ทั้งสมองซ้ายและสมองขวา สมองซ้ายใช้สำหรับการควบคุมภาษาและการวิเคราะห์ตามตรรกศาสตร์ สมองขวาใช้สำหรับการเข้าถึงความรู้ที่เกิดจากสถานการณ์จริงและความเข้าใจแบบรวมๆ การเรียนรู้ทางสมองให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะที่ทั้งสองฝ่ายของสมอง
การเรียนรู้ทางร่างกาย ความเข้าใจแบบครอบคลุมไม่เพียงแค่การเรียนรู้ทางสมอง แต่ยังเน้นการเรียนรู้ทางร่างกายด้วย การเรียนรู้แบบมีการเคลื่อนไหวสามารถช่วยให้ความรู้กลับมาสมบูรณ์และยังช่วยสร้างความจำที่แข็งแรงกว่าด้วย
การเรียนรู้ทางอารมณ์ แนวคิดการเรียนรู้แบบครอบคลุมให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ทางอารมณ์ การมีสมาธิและการควบคุมอารมณ์ช่วยให้เรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การสร้างสถานการณ์การเรียนรู้ที่น่าสนใจและท้าทาย การใช้การเรียนรู้ที่เกิดจากการทำความรู้จักรวาลของตนเอง และการใช้การเรียนรู้ที่เกิดจากความสัมพันธ์และการสื่อสารกับผู้อื่น
การเรียนรู้ทางสังคม การเรียนรู้แบบครอบคลุมยังเน้นการเรียนรู้ทางสังคมด้วย การเรียนรู้ผ่านการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์กับผู้อื่น การทำงานเป็นกลุ่มและการเรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์มากกว่า การสนับสนุนและการเรียนรู้จากครูหรือผู้แนะนำอาจเป็นส่วนสำคัญของการเรียนรู้แบบครอบคลุม
การเรียนรู้แบบปฏิบัติ การเรียนรู้แบบครอบคลุมนำไปสู่การเรียนรู้แบบปฏิบัติ สิ่งที่เรียนรู้ควรถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันและสามารถแก้ปัญหาในสถานการณ์ที่แตกต่างกันได้ การเรียนรู้แบบปฏิบัติมีการเตรียมความพร้อมให้นักเรียนมีโอกาสทดลองและฝึกปฏิบัติในสถานการณ์จริง
โดยทั่วไปแล้ว การเรียนรู้แบบครอบคลุมต้องการการเตรียมความพร้อมทางกาย กายภาพ อารมณ์ สังคม และสมอง โดยการสร้างสภาวะการเรียนรู้ที่หลากหลายและมีความสมดุลระหว่างด้านเหล่านี้ นอกจากนี้ควรสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่สร้างสรรค์และสนุกสนานเพื่อให้การเรียนรู้เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและท้าทายสำหรับผู้เรียน
นี่คือตัวอย่างของการเรียนรู้แบบองค์รวม
โครงงานหัวข้อเดียวกัน ให้กลุ่มนักเรียนทำโครงงานเกี่ยวกับหัวข้อเดียวกัน โดยมีการรวมความรู้และทักษะจากหลายวิชา เช่น การทำโครงงานเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของวัตถุโดยใช้หลักการฟิสิกส์ และศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการเคลื่อนที่ดังกล่าว
การเรียนรู้ผ่านโครงการอาชีพ จัดกิจกรรมหรือโครงการที่ให้นักเรียนได้เรียนรู้ผ่านการทำงานแบบจำลองจริง ยกตัวอย่างเช่น การสร้างธุรกิจเล็กๆ ในโรงเรียน โดยให้นักเรียนทำการวางแผนธุรกิจ เขียนเอกสารการตลาด และเรียนรู้การจัดการทางธุรกิจ
โครงการเรียนรู้ที่ศึกษาทางสนาม นำนักเรียนไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรการเรียนรู้ เช่น การเยี่ยมชมสวนสัตว์หรือพิพิธภัณฑ์เพื่อศึกษาความหลากหลายของสัตว์ และศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์
การเรียนรู้ผ่านโครงการกลุ่ม นำนักเรียนมาทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม เพื่อแก้ปัญหาหรือโจทย์ปัญหาที่ซับซ้อน โดยการใช้ทักษะและความรู้จากวิชาต่างๆ ตัวอย่างเช่น กลุ่มนักเรียนทำโครงการวิจัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
โครงการเรียนรู้แบบโต้ตอบ ให้นักเรียนมีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับผู้อื่น โดยการเข้าร่วมองค์กรนักศึกษา หรือการเชื่อมโยงกับผู้เชี่ยวชาญทางด้านในสายงานที่นักเรียนสนใจ เพื่อเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจในสายงานนั้นๆ
โดยการเรียนรู้แบบองค์รวมนี้จะส่งเสริมการคิดเชิงวิพากษ์ การแก้ปัญหาแบบครบวงจร และการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับชีวิตจริงของนักเรียน
Holistic Learning หมายถึง แนวคิดการเรียนรู้ที่เน้นการเรียนรู้และทำความเข้าใจแบบเป็นระบบทั้งสิ้น โดยพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการเรียนรู้ เช่น ความเชื่อมโยงระหว่างความรู้ในวิชาต่างๆ และการนำความรู้มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน แนวคิดนี้เน้นที่ความเข้าใจที่เป็นระบบและครอบคลุมของเรื่องที่เรียนรู้ โดยทั้งสมองและร่างกายมีบทบาทสำคัญในกระบวนการเรียนรู้แบบครอบคลุมนี้ การเรียนรู้แบบครอบคลุมจะเน้นการพัฒนาทักษะทางอารมณ์และสังคมในขณะเรียนรู้เพื่อให้การเรียนรู้เป็นประสบการณ์ที่สมบูรณ์และที่ยั่งยืนสำหรับผู้เรียน
การพัฒนาแบบองค์รวมในปฐมวัยเป็นกระบวนการที่เน้นการพัฒนาทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา สังคม และอารมณ์ของเด็กๆ โดยให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ที่เป็นระบบและมีความสอดคล้องกัน
นี่คือหลักการพัฒนาแบบองค์รวมในปฐมวัย
พัฒนาด้านร่างกาย การส่งเสริมพัฒนาการกล้ามเนื้อและสมอง ผ่านกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหว เช่น การเล่นกีฬา การออกกำลังกาย การเล่นเกมที่ต้องใช้การคิดและการเคลื่อนไหวพร้อมกัน
พัฒนาด้านสติปัญญา การสร้างความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ ผ่านการสนับสนุนให้เด็กได้สัมผัสกับประสบการณ์และวัตถุประสงค์ต่างๆ เช่น การเล่นเกมที่ต้องใช้ความคิด การอ่านหนังสือ การแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ
พัฒนาด้านสังคม สร้างสภาวะการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมในกลุ่ม โดยให้โอกาสในการทำงานเป็นทีม การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และการเรียนรู้ในสังคม เช่น การเล่นกับเพื่อน การเล่นบทละคร การทำกิจกรรมสังคมในชุมชน
พัฒนาด้านอารมณ์ การสร้างความรู้สึกที่เป็นส่วนตัวและควบคุมอารมณ์ในสถานการณ์ต่างๆ ผ่านการสนับสนุนให้เด็กได้เรียนรู้การจัดการอารมณ์ การเล่นเกมที่เน้นการตอบสนองอารมณ์ และการฝึกสมาธิในรูปแบบที่เหมาะสม
การพัฒนาแบบองค์รวมในปฐมวัยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เด็กพัฒนาทักษะทางทั้งสมอง ร่างกาย สังคม และอารมณ์ในรูปแบบที่สมบูรณ์และสอดคล้องกัน การให้ความสำคัญและการสนับสนุนในทุกด้านจะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการที่เต็มที่ในประเด็นต่างๆ
แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาแบบองค์รวม (Holistic approach) มีหลายทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ต่อไปนี้คือตัวอย่างของแนวคิดและทฤษฎีที่ได้รับความนิยมในการเรียนรู้ภาษาแบบองค์รวม
ทฤษฎีการเรียนรู้ภาษาแบบครอบคลุม (Integrated Language Learning Theory) ทฤษฎีนี้เน้นการใช้ภาษาทั้งทักษะทางพูดฟังอ่านเขียนในบทเรียนภาษา โดยการใช้เนื้อหาที่มีความหลากหลายและเชื่อมโยงกับประสบการณ์จริงในชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ภาษาจะเกิดขึ้นในบริบทที่มีความหมายและความสัมพันธ์กับเนื้อหาที่เรียนอยู่ในขณะนั้น
ทฤษฎีการเรียนรู้ภาษาแบบทักษะทั้งหมด (Communicative Competence Theory) ทฤษฎีนี้เน้นการพัฒนาทักษะการสื่อสารที่เป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้ภาษา โดยการให้นักเรียนได้เรียนรู้ภาษาในบริบทที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารจริง ๆ และการใช้ภาษาเพื่อแก้ไขปัญหาทางสังคม
ทฤษฎีการเรียนรู้ภาษาแบบสื่อ (Multimodal Learning Theory) ทฤษฎีนี้เน้นการใช้สื่อต่าง ๆ เช่น ภาพถ่าย วิดีโอ แผนผัง เพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่หลากหลายและสร้างความสนใจ การเรียนรู้ภาษาจะเกิดขึ้นผ่านการมองเห็น การฟัง การอ่าน และการเขียนอย่างรวมถึงการใช้สื่อเพื่อเสริมสร้างการเข้าใจและการเรียนรู้
ทฤษฎีการเรียนรู้ภาษาแบบความสัมพันธ์ (Connectionist Theory) ทฤษฎีนี้เน้นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคำศัพท์ กฎไวยากรณ์ และประโยคในการเรียนรู้ภาษา โดยการสร้างระบบเครือข่ายคำศัพท์และกฎไวยากรณ์ที่สอดคล้องกัน การเรียนรู้ภาษาจะเกิดขึ้นผ่านการเรียนรู้แบบต่อเนื่องและการใช้ความสัมพันธ์ในการสร้างความหมาย
โดยแนวคิดและทฤษฎีเหล่านี้เน้นการเรียนรู้ภาษาในบริบทที่หลากหลายและเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ในการใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน การเรียนรู้แบบองค์รวมให้ความสำคัญกับความเข้าใจที่เป็นระบบและครอบคลุมของภาษา โดยใช้วิธีการที่หลากหลายเพื่อสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้และการสื่อสารในภาษาแบบองค์รวม.
การมองภาพองค์รวม (Holistic Visualization) เป็นกระบวนการทางความคิดที่ใช้การมองเห็นภาพรวมหรือร่างทั้งหมดของสิ่งที่กำลังสร้างขึ้น หรือกำลังเริ่มต้นเป็นรูปแบบใหม่ โดยการมองเห็นภาพองค์รวมทั้งหมดนี้ช่วยให้เราเห็นมุมมองที่กว้างขึ้น โดยไม่ยึดติดกับส่วนย่อยของสิ่งที่เรากำลังพิจารณาอยู่ในขณะนั้นเพียงอย่างเดียว
ในการมองภาพองค์รวม เราพยายามให้สามารถเชื่อมโยงความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกันเพื่อสร้างภาพรวมที่ครอบคลุมและสมบูรณ์ขึ้น จะเป็นการที่เราสามารถมองเห็นความสัมพันธ์ แนวโน้ม หรือแนวคิดที่ซับซ้อนอยู่ในระบบทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแค่ส่วนย่อยหรือรายละเอียดเดียว
การมองภาพองค์รวมเป็นทักษะที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน ในการวางแผน และในการตัดสินใจที่ให้ความสำคัญกับผลกระทบรวมโดยรอบ การมองภาพองค์รวมช่วยให้เรามีมุมมองกว้างขึ้น เข้าใจความซับซ้อนของสถานการณ์ และตอบสนองอย่างเหมาะสมต่อองค์ประกอบทั้งหมด
การคิดแบบองค์รวม (Holistic Thinking) เป็นกระบวนการคิดที่เน้นการมองเห็นภาพรวมและความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบทั้งหมดของระบบหรือสถานการณ์ แทนที่จะสนใจแยกส่วนย่อยและรายละเอียดของสิ่งที่เกี่ยวข้อง ในการคิดแบบองค์รวม เราพยายามเชื่อมโยงความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ที่มีอยู่เข้าด้วยกันเพื่อสร้างภาพรวมที่ครอบคลุมและเข้าใจของสถานการณ์
การคิดแบบองค์รวมช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมที่กว้างขึ้น โดยให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ แนวโน้ม และภาพรวมของระบบ ไม่ใช่เพียงแค่ส่วนย่อยหรือรายละเอียดเดียว และสามารถเข้าใจความซับซ้อนและสัมพันธ์ของสิ่งที่เรากำลังพิจารณา
การคิดแบบองค์รวมเป็นทักษะที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน ในการวางแผน และในการตัดสินใจที่ให้ความสำคัญกับผลกระทบรวมโดยรอบ การคิดแบบองค์รวมช่วยให้เรามีมุมมองกว้างขึ้น เข้าใจความซับซ้อนของสถานการณ์ และตอบสนองอย่างเหมาะสมต่อองค์ประกอบทั้งหมด
เปรียบเทียบการมองภาพองค์รวมและการคิดแบบองค์รวมในรูปแบบตาราง
ลักษณะ | การมองภาพองค์รวม | การคิดแบบองค์รวม |
---|---|---|
การมองเห็นภาพรวม | มองเห็นภาพรวมและความสัมพันธ์ขององค์ประกอบทั้งหมด | มองเห็นภาพรวมและความสัมพันธ์ของระบบโดยรอบ |
การควบคุมและคัดเลือก | สนใจความสัมพันธ์และผลกระทบขององค์ประกอบร่วมกัน | สนใจความสัมพันธ์และผลกระทบระหว่างองค์ประกอบ และระบบโดยรอบ |
การเห็นความลึก | มองเห็นมุมมองที่กว้างขึ้นและรับรู้ภาพรวมของสถานการณ์ | มองเห็นมุมมองที่กว้างขึ้นและเข้าใจความซับซ้อนของสถานการณ์ |
การคิดในเชิงระบบ | คิดเกี่ยวกับระบบที่ซับซ้อนและซับซ้อน | คิดเกี่ยวกับระบบที่ซับซ้อนและซับซ้อน |
สรุปแล้ว การมองภาพองค์รวมเน้นการมองเห็นภาพรวมและความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบทั้งหมดของสถานการณ์ ในขณะที่การคิดแบบองค์รวมเน้นการเห็นภาพรวมและเข้าใจความซับซ้อนของสถานการณ์ การคิดแบบองค์รวมมุ่งเน้นการคิดเชิงระบบและสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบและระบบโดยรอบ
การมองภาพองค์รวมในกระบวนการคิดแบบคอนเซปชั่น (Conceptual Thinking) หมายถึงการคิดและวางแผนในรูปแบบของแนวคิดหรือแบบแผนรวมทั้งปวงของสิ่งที่กำลังพิจารณา การมองภาพองค์รวมในกระบวนการคิดแบบคอนเซปชั่นช่วยให้เราเก็บข้อมูลหลายๆ ส่วนย่อยและความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเหล่านั้นเข้าด้วยกันเพื่อสร้างภาพรวมที่เข้าใจได้โดยรวม
การมองภาพองค์รวมในกระบวนการคิดแบบคอนเซปชั่นช่วยให้เราสามารถ
เห็นภาพรวม มองเห็นมุมมองที่กว้างขึ้นและเข้าใจภาพรวมของสิ่งที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่เพียงแค่ส่วนย่อยหรือรายละเอียดเดียว
เชื่อมโยงความรู้ เชื่อมโยงและนำความรู้และแนวคิดที่ต่างกันมาเข้าด้วยกันเพื่อสร้างแนวคิดหรือแบบแผนที่ครอบคลุมทั้งหมด
คิดแบบรวมระบบ การพิจารณาและคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกี่ยวข้องในรูปแบบของระบบโดยรอบ โดยให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และผลกระทบระหว่างส่วนส่วนต่างๆ
การมองภาพองค์รวมในกระบวนการคิดแบบคอนเซปชั่นช่วยให้เรามีมุมมองที่กว้างขึ้น เข้าใจความซับซ้อนของสถานการณ์ และสามารถวางแผนและตัดสินใจในระดับของแบบแผนที่ครอบคลุมและเข้าใจทั้งปวงของสิ่งที่กำลังพิจารณาได้
การพัฒนาแบบองค์รวมพฤติกรรม จิตใจ และปัญญาเป็นกระบวนการที่เน้นการพัฒนาทั้งทางด้านพฤติกรรม ทางจิตใจ และทางปัญญาให้เกิดขึ้นอย่างครอบคลุมและสมดุลกัน โดยการพัฒนาแบบองค์รวมเหล่านี้ช่วยให้เราเป็นบุคคลที่สมบูรณ์และมีความสามารถในทุกด้านของชีวิต
การพัฒนาพฤติกรรม เน้นการสร้างและพัฒนาพฤติกรรมที่เป็นประโยชน์และส่งเสริมการดำเนินชีวิตที่ดี โดยการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน และใช้เทคนิคการวางแผนและการตั้งตารางการดำเนินกิจกรรมให้เหมาะสม
การพัฒนาจิตใจ เน้นการสร้างและพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีกับตนเองและกับผู้อื่น การฝึกให้มีความสุขและความสามารถในการจัดการกับอารมณ์และความคิด การฝึกให้มีการตั้งใจและสำนึกในปัจจุบัน (mindfulness) เพื่อเสริมสร้างความสงบและความเข้าใจ
การพัฒนาปัญญา เน้นการสร้างและพัฒนาความรู้ ความคิด และการเข้าใจทางปัญญา โดยการเรียนรู้ที่ครอบคลุมและความเข้าใจที่เป็นระบบ การฝึกการคิดแบบวิพากษ์ การแก้ปัญหา และการสร้างความคิดสร้างสรรค์
การพัฒนาแบบองค์รวมของพฤติกรรม จิตใจ และปัญญานี้ช่วยให้เราเป็นบุคคลที่มีความสมดุลและสมบูรณ์ทั้งด้านทางส่วนบุคคลและสังคม และสามารถเติบโตและพัฒนาไปในทิศทางที่ดีในทุกๆ ด้านของชีวิต
อ่านบทความทั้งหมด >>> pangpond.com
สภาวิชาชีพบัญชี สภาวิชาชีพบัญชี login สมาชิกสภาวิชาชีพบัญชี วิชาชีพบัญชี หมายถึง สภาวิชาชีพบัญชี เก็บชั่วโมง สภาวิชาชีพบัญชี คือ สภาวิชาชีพบัญชี ต่ออายุ
การหักเหของแสง ในชีวิตประจําวัน การหักเหของแสง สรุป การหักเหของแสงผ่านเลนส์ การหักเหของแสงมีอะไรบ้าง การหักเหของแสงผ่านตัวกลาง กฎการหักเห
คําคุณศัพท์บอกลักษณะ คุณภาพ ขนาด สี รูปร่าง คําคุณศัพท์ มีอะไรบ้าง คําคุณศัพท์ อังกฤษ คํา คุณศัพท์ 50 คํา adjective บอกลักษณะ สิ่งของ คําคุณศัพท์บอก
พยัญชนะอังกฤษ 26 ตัว เทียบอักษรอังกฤษ-ไทย พยัญชนะอังกฤษมีกี่ตัว สระภาษาอังกฤษ พยัญชนะภาษาอังกฤษ21ตัว พยัญชนะ สระภาษาอังกฤษ เทียบอักษรไทย
Malware Malware คือ ข้อแนะนำในการป้องกันการติดมัลแวร์ พฤติกรรมการทำงานของมัลแวร์ แต่ละประเภท malwarebytes anti-malware มัลแวร์ แก้ยังไง เรียก
เหตุการณ์ฉุกเฉิน มีอะไรบ้าง แผนฉุกเฉิน มีอะไรบ้าง การเตรียมความพร้อมกรณี เหตุฉุกเฉิน แผนฉุกเฉินในโรงงาน ตัวอย่างการซ้อมแผนฉุกเฉิน การปฏิบัติเมื่อเกิด