ปก อุทกภัย

2 พื้นที่ และอุทกภัยในภูมิศาสตร์ไม่แปลกที่คุณไม่รู้?

พื้นที่และอุทกภัยในภูมิศาสตร์

พื้นที่และอุทกภัยเป็นสาขาหนึ่งของภูมิศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่และภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ดินถล่ม ป่าไหม้ แผ่นดินไหว และสึนามิภัย การศึกษาพื้นที่และอุทกภัยจะพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น ภูมิอากาศ ปริมาณน้ำฝน แนวโน้มทางธรรมชาติ ความลาดชันของพื้นที่ และความสัมพันธ์กับกิจกรรมมนุษย์ เพื่อให้เกิดการเข้าใจและการจัดการอันมีประสิทธิภาพในการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติทางธรรมชาติในพื้นที่ต่าง ๆ

อุทกภัย 02

ตัวอย่างเช่น พื้นที่ที่ตั้งของเมืองบางกอกจะอยู่ติดชายฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นแหล่งน้ำท่วมที่คาดว่าจะเกิดในช่วงฤดูฝน เนื่องจากมีปริมาณน้ำฝนสูง อีกทั้งพื้นที่เมืองก็มีลักษณะที่ลาดชันน้อย ทำให้น้ำท่วมมีความเสียหายอย่างมากเมื่อเกิดการเกิดน้ำท่วม สำหรับเมืองที่ตั้งอยู่ใกล้ทะเล เช่น เมืองกรุงเทพฯ อาจเสี่ยงต่อผลกระทบจากพายุทะเลและสึนามิภัย ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายใหญ่และส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่นั้น อย่างไรก็ตามภูมิศาสตร์ช่วยให้เราเข้าใจและวางแผนการจัดการอุทกภัยเพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สาเหตุและปัจจัยของการเกิดอุทกภัย

การเกิดอุทกภัยสามารถเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุและปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อสภาพอากาศและสภาวะทางธรรมชาติ อาจมีสาเหตุแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลักคือสาเหตุธรรมชาติและสาเหตุมนุษย์ ดังนี้

  1. สาเหตุธรรมชาติ

    • ฝนตกหนัก การตกฝนที่มากเกินไปภายในระยะเวลาที่สั้นๆ หรือฝนตกชุกทำให้ระบบรับน้ำไม่สามารถรับมือได้ ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมและพายุน้ำท่วม.
    • พายุ พายุเช่น ฝนตกหนัก, พายุไอซ์, พายุทอร์นาโด, และฝนทรายสามารถก่อให้เกิดน้ำท่วม ลมแรง, และคลื่นทะเลสูง ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสียหายทั้งในทางธรรมชาติและทรัพย์สินมนุษย์.
    • แผ่นดินไหว เกิดจากการเคลื่อนไหวของเนื้อหินใต้ดิน อาจก่อให้เกิดการทับถม พังทลายโรงเรือน และทรัพย์สินอื่นๆ ได้.
  2. สาเหตุมนุษย์

    • การก่อสร้างไม่เหมาะสม การก่อสร้างที่ไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสมสามารถทำให้น้ำระบายไม่ได้เหมือนปกติ หรือทำให้น้ำขังสะสมและเกิดน้ำท่วมได้.
    • การทำลายธรรมชาติ การถ่ายทอดแผนการใช้ที่ดินโดยไม่มีการวางแผนอย่างเหมาะสมสามารถทำให้เกิดการหลุดพ้นของดินและน้ำในพื้นที่ เช่นการล้างตลาดหรือเพิ่มพื้นที่อุตสาหกรรม.
    • เปลี่ยนแปลงทางเขตกรรม การเปลี่ยนแปลงทางเขตกรรมธรรมชาติ เช่น การล้างป่า, การทำลายป่าชุมชน และการอุทธรณ์น้ำท่วม สามารถเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดอุทกภัยได้.
    • ความเป็นมลพิษ การปล่อยสารพิษและน้ำเสียในแหล่งน้ำสามารถทำให้เกิดปัญหาเช่นการตายของปลาและสิ่งมีชีวิตน้ำจืด รวมถึงเป็นสาเหตุให้เกิดอุทกภัยในทางน้ำได้.

เหตุผลเหล่านี้สามารถทำให้เกิดอุทกภัยได้ทั้งในพื้นที่แนวชายฝั่งทะเล, แม่น้ำ, และพื้นที่ภูเขา และบางครั้งสามารถเกิดขึ้นในพื้นที่ที่ไม่คาดคิดด้วยกันด้วย การรับรู้สาเหตุและปัจจัยเหล่านี้สามารถช่วยให้เราวางแผนการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

อุทกภัย ผลกระทบ

อุทกภัยมีผลกระทบที่หลากหลายต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ผลกระทบเหล่านี้อาจเกิดขึ้นทันทีหรือมีผลระยะยาว ดังนี้

  1. ความเสียหายต่อชีวิตและความปลอดภัยของมนุษย์

    • การสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บ อุทกภัยอาจทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บในมากมาย ไม่ว่าจะเป็นจากน้ำท่วม, ดินถล่ม, ลมพายุ, หรือสึนามิภัย.
    • การเสียหายต่อสถานที่อยู่อาศัย น้ำท่วม, ดินถล่ม, และลมพายุสามารถทำลายหรือทำให้สึกหลังบ้าน อาคารพาณิชย์ และสถานที่อื่น ๆ ทำให้มีการสูญเสียทรัพย์สินและบริหารความเสียหายในการซ่อมแซม.
    • การสูญเสียที่ดินและการเคลื่อนย้ายของพื้นที่ อุทกภัยอาจทำให้เกิดการสูญเสียที่ดินและการเคลื่อนย้ายของพื้นที่ ซึ่งส่งผลต่อการเกษตร, การใช้ประโยชน์ของพื้นที่, และการอยู่อาศัยของประชากรในระยะยาว.
  2. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

    • คุณภาพน้ำ น้ำท่วมสามารถนำสารเคมี, ขยะ, และสิ่งสกปรกเข้าสู่แหล่งน้ำ ทำให้เกิดความเสียหายต่อคุณภาพน้ำและสิ่งมีชีวิตในน้ำ.
    • ความเสียหายต่อพืชและสัตว์ น้ำท่วมสามารถทำลายพืชและป่าชุมชน ทำให้สัตว์ที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้นเสียหายหรือสูญพันธุ์ได้.
    • การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ อุทกภัยอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ เช่น การยุบเข้ากันของพื้นที่ทะเล, การเปลี่ยนแปลงทางเขตกรรมธรรมชาติ, และการทำลายชุมชนทางน้ำ.

การจัดการอุทกภัยที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้น ด้วยการบริหารจัดการเรื่องน้ำ, การสร้างระบบรักษาความปลอดภัย, การวางแผนเมืองที่เหมาะสม, และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมนุษย์ในการปฏิบัติตามหลักการทางสิ่งแวดล้อม

อุทกภัย 03

ประเทศไทยมักประสบอุทกภัย เพราะเหตุใด

ประเทศไทยมักประสบอุทกภัยเป็นประจำเนื่องจากสาเหตุและปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  1. ลักษณะภูมิประเทศ ทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยมีลักษณะที่เป็นเขา ภูเขา และที่ราบชุมชนติดชายทะเล ซึ่งมีภูมิอากาศเป็นฝนตกตลอดปี น้ำฝนมีปริมาณมากในช่วงฤดูฝน ทำให้มีการเกิดน้ำท่วมและดินถล่มได้ง่าย อุทกภัยเช่น น้ำท่วมทางฝั่ง ภูเขาไฟระเบิด และพายุทะเลสามารถเกิดขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศได้.

  2. ฤดูฝนและลมมรสุม ฤดูฝนในประเทศไทยมีความต่างแตกต่างในแต่ละภาค ภาคตะวันตกและภาคใต้มีฝนตกตลอดปี และมีปริมาณน้ำฝนสูง อาจเกิดน้ำท่วมในพื้นที่ที่รับน้ำฝนมากเกินไป ในขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือมีฤดูฝนสลับซับซ้อนกัน ซึ่งอาจเกิดการเก็บน้ำที่ไม่เพียงพอ ส่งผลให้มีการขาดแคลนน้ำ ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังตั้งอยู่ในเขตมรสุมทางลมในฤดูร้อน ทำให้มีพายุลมเข้าซึ่งอาจก่อให้เกิดพายุและสึนามิภัยได้.

  3. การก่อสร้างไม่เหมาะสม การก่อสร้างโครงสร้างต่าง ๆ ไม่เหมาะสมหรือไม่ถูกต้องอาจทำให้ระบบรับน้ำไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้เกิดน้ำท่วมและอุทกภัยในพื้นที่ที่มีการก่อสร้างหรือพัฒนาอย่างมาก.

  4. การเปลี่ยนแปลงทางภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงทางภูมิประเทศ เช่น การล้างป่า, การทำลายป่าชุมชน และการเปลี่ยนแปลงเขตกรรมธรรมชาติ เป็นต้น ส่งผลให้มีการเกิดอุทกภัยได้.

  5. ปัจจัยมนุษย์ บางครั้งการกระทำของมนุษย์เองส่งผลให้เกิดอุทกภัย เช่น การทำทางน้ำในที่ไม่ถูกต้อง, การปล่อยน้ำเสียหรือสารเคมีในแหล่งน้ำ และการก่อสร้างอาคารและพื้นที่ในบริเวณที่เสี่ยงต่ออุทกภัย

เพื่อลดความเสี่ยงจากอุทกภัย จำเป็นต้องมีการวางแผนการจัดการอุทกภัยที่เหมาะสม รวมถึงการส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำและการป้องกันอุทกภัยให้เป็นธรรมชาติเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

อุทกภัย 01

วิธีป้องกันอุทกภัย

การป้องกันอุทกภัยเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและมีหลายด้าน ดังนั้นนี่คือบางวิธีที่สามารถใช้เพื่อป้องกันอุทกภัย

  1. การวางแผนการจัดการอุทกภัย การทำการวางแผนเป็นสิ่งสำคัญเพื่อจัดการอุทกภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงการประเมินความเสี่ยง, การกำหนดและประเมินมาตรการป้องกัน, การเตรียมความพร้อมขององค์กรและประชาชน และการสื่อสารและแบ่งปันข้อมูลที่เกี่ยวข้อง.

  2. การปรับแต่งพื้นที่ การวางแผนการใช้ที่ดินและการก่อสร้างให้เป็นไปตามหลักการทางสิ่งแวดล้อมเพื่อลดความเสี่ยงจากอุทกภัย รวมถึงการรักษาพื้นที่ป่าชุมชนเพื่อเสริมสร้างการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ.

  3. การบริหารจัดการน้ำ การจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การสร้างระบบรักษาความปลอดภัยของเขื่อน, การจัดการการระบายน้ำ, การสร้างสะพานและทางเดินน้ำที่เหมาะสม, และการบำบัดน้ำเสีย.

  4. การสร้างสถานที่รับและระบายน้ำ การสร้างระบบรับและระบายน้ำที่มีความสามารถในการรับมือกับปริมาณน้ำมากในช่วงฤดูฝน รวมถึงการติดตั้งระบบระบายน้ำในพื้นที่เสี่ยงต่อการท่วม.

  5. การเตรียมความพร้อมและการตอบสนองฉุกเฉิน การฝึกอบรมและการจัดทำแผนการตอบสนองฉุกเฉิน เช่น การระบุพื้นที่กักเก็บภายในเหตุการณ์ฉุกเฉิน, การเตรียมการอพยพและการปลอดภัยสำหรับประชาชนในเขตเสี่ยง.

  6. การเพิ่มความต้านทานและความยืดหยุ่น การสร้างสิ่งกีดขวางเพื่อลดความเสี่ยงจากการเข้าถึงของน้ำ, การใช้วัสดุที่มีความทนทานต่อน้ำและแรงสูง, การเสริมสร้างระบบสารสนเทศและการติดตามสภาพอากาศ.

  7. การส่งเสริมการตรวจสอบและการวิเคราะห์ การพัฒนาระบบการตรวจสอบและการวิเคราะห์อุทกภัยอย่างระบบเพื่อการทำนายและการตรวจจับอุทกภัยที่เป็นไปได้ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อการตรวจจับและการติดตามอุทกภัย.

7 วิธี ป้องกันอุทกภัย

การป้องกันอุทกภัยเป็นกระบวนการที่ต้องมีการร่วมมือระหว่างหน่วยงานราชการ, สถาบันวิจัย, องค์กรภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป เพื่อให้มีการวางแผน ดำเนินการ และตอบสนองต่ออุทกภัยอย่างมีประสิทธิภาพและเชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

การวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงอุทกภัย

การวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงอุทกภัยเป็นกระบวนการที่ใช้ข้อมูลและเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อประเมินความเสี่ยงและการเตรียมความพร้อมกับอุทกภัยในพื้นที่ นี่คือขั้นตอนการวิเคราะห์ที่สำคัญ

  1. รวบรวมข้อมูล การรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่เช่น ข้อมูลภูมิอากาศ, ข้อมูลภาวะทางธรรมชาติ, ข้อมูลเรื่องประชากร, ข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดิน เป็นต้น เพื่อใช้ในการวิเคราะห์เชิงพื้นที่.

  2. การทำแผนที่ ใช้ข้อมูลที่รวบรวมมาเพื่อสร้างแผนที่ที่แสดงพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย ซึ่งอาจประกอบไปด้วยข้อมูลเชิงภูมิศาสตร์ เช่น แหล่งน้ำ, สิ่งกีดขวางน้ำ, พื้นที่ที่เคลื่อนย้ายของน้ำ และปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่ออุทกภัย.

  3. การประเมินความเสี่ยง โดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่ วิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงในพื้นที่ เช่น ปริมาณน้ำฝน, ความลาดชันของพื้นที่, ความสูงจากระดับน้ำทะเล, ความต้านทานของพื้นที่ต่อการน้ำท่วม เป็นต้น.

  4. การแบ่งแยกพื้นที่เสี่ยง ตามผลการประเมินความเสี่ยง แบ่งแยกพื้นที่เสี่ยงในระดับต่าง ๆ เช่น พื้นที่เสี่ยงสูง, เสี่ยงปานกลาง และเสี่ยงต่ำ หรือการกำหนดเขตเสี่ยง.

  5. การเตรียมความพร้อมและการจัดการ อิงตามผลการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ วางแผนและดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมในพื้นที่ที่เสี่ยง รวมถึงการจัดการอุทกภัยเช่น การสร้างระบบรักษาความปลอดภัยของเขื่อน, การสร้างระบบรับและระบายน้ำ, และการสร้างโครงสร้างกำแพงกันน้ำ.

การวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงอุทกภัย

การวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงอุทกภัยช่วยให้สามารถรับมือกับอุทกภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

สาเหตุ น้ำท่วม จาก ธรรมชาติ

น้ำท่วมสามารถเกิดขึ้นจากสาเหตุธรรมชาติหลายประการ ดังนี้

  1. ฝนตกหนัก การตกฝนที่มีปริมาณมากภายในระยะเวลาสั้นๆ สามารถทำให้ระบบรับน้ำไม่สามารถรองรับได้ ทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ที่ไม่สามารถระบายน้ำออกได้เร็วพอ ซึ่งอาจเกิดจากพายุหรือการฝนตกหนักในช่วงฤดูฝน.

  2. ลมพายุและพายุทะเล พายุที่แรงและลมพายุทะเลสามารถก่อให้เกิดน้ำท่วมและคลื่นทะเลสูงได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ติดชายทะเลหรือบริเวณแหล่งน้ำใกล้ชายฝั่ง.

  3. การล้มเหลวของโขดหินหรือกำแพงดิน การล้มเหลวของโขดหินหรือกำแพงดินในภูเขาหรือที่ราบชุมชนที่มีความชันสูงสามารถทำให้น้ำฝนที่ไหลลงมาล้วนไปสู่พื้นที่ล่าง และอาจเกิดน้ำท่วมและดินถล่มได้.

  4. การเกิดแผ่นดินไหว แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีเนื้อหินใต้ดินเคลื่อนไหว สามารถทำให้เกิดการขับถ่ายของดินและน้ำ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของน้ำท่วมและอุทกภัยได้.

  5. การเกิดน้ำท่วมทางแม่น้ำ การล้นของแม่น้ำเนื่องจากปริมาณน้ำฝนที่มากเกินไป หรือการปล่อยน้ำจากเขื่อนในปริมาณมากทำให้น้ำท่วมและริมแม่น้ำ.

  6. ภูเขาไฟระเบิด การระเบิดของภูเขาไฟสามารถเกิดพายุในลักษณะของลูกเมฆลมพายุที่เต็มไปด้วยน้ำฝน ทำให้เกิดน้ำท่วมได้ในพื้นที่รอบๆ ภูเขาไฟ.

6 สาเหตุน้ำท่วมจากธรรมชาติ

สาเหตุเหล่านี้สามารถเป็นอุปสรรคใหญ่ในการสร้างความเสี่ยงของน้ำท่วมและอุทกภัย การรับรู้และการเตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์เหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญในการลดผลกระทบและการจัดการอุทกภัยในที่สุด

สาเหตุ น้ำท่วม จาก มนุษย์

น้ำท่วมที่เกิดขึ้นจากมนุษย์สามารถมีหลายสาเหตุ ดังนี้

  1. การบริหารจัดการน้ำไม่เหมาะสม การบริหารจัดการน้ำที่ไม่เหมาะสมอาจเป็นสาเหตุให้เกิดน้ำท่วม ตัวอย่างเช่นการบริหารจัดการระบบระบายน้ำไม่เพียงพอหรือไม่ถูกต้อง การปิดบังช่องระบายน้ำ หรือการบริหารจัดการระบบรักษาความปลอดภัยของเขื่อนไม่เพียงพอ ทำให้เกิดการกักเก็บน้ำและน้ำท่วมในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม.

  2. การสร้างสิ่งกีดขวางน้ำ การสร้างเขื่อน, สะพาน, ท่อระบายน้ำ หรือโครงสร้างอื่น ๆ ที่กีดขวางการไหลของน้ำ อาจส่งผลให้เกิดการกักเก็บน้ำและน้ำท่วมในพื้นที่ที่ไม่คาดคิด.

  3. การก่อสร้างและเปลี่ยนแปลงทางดิน การก่อสร้างอาคารและโครงสร้างต่าง ๆ ในพื้นที่ที่มีระบบรับน้ำไม่เพียงพอ หรือการเปลี่ยนแปลงทางดินแบบไม่เหมาะสม อาจทำให้น้ำไม่สามารถระบายได้อย่างเหมาะสมและเกิดน้ำท่วม.

  4. การทำลายและประกอบกันของสิ่งแวดล้อม การทำลายและการประกอบกันของสิ่งแวดล้อม เช่น การล้างป่า, การกัดเซาะชายฝั่งแม่น้ำ, การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน และการล้างของเสียในน้ำ เป็นต้น สามารถทำให้ระบบน้ำไม่สมดุลและเกิดน้ำท่วมได้.

  5. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเช่น การเพิ่มความร้อนโดยเร่งการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ อาจเป็นผลให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมในบางพื้นที่.

การทำความเข้าใจและการรับรู้เกี่ยวกับสาเหตุที่น้ำท่วมจากมนุษย์สามารถช่วยให้เรามีการวางแผนและดำเนินการให้เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงและการเกิดน้ำท่วมในอนาคต

อ่านบทความทั้งหมด >>> pangpond.com