
โป๊ะแตก อาหารทะเลรสเด็ด ยอดนิยมของไทย
“โป๊ะแตก” เป็น อาหารทะเลไทยโบราณ ที่ขึ้นชื่อเรื่องความจัดจ้านและกลมกล่อม เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบความเผ็ดร้อนและรสชาติที่ลงตัวจากสมุนไพรไทย โดยเมนูนี้มักใช้ อาหารทะเลสดๆ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา ปลาหมึก มาปรุงรวมกับน้ำซุปต้มยำเข้มข้นที่หอมสมุนไพร
การกิน โป๊ะแตก ไม่เพียงแต่ได้รสชาติความอร่อยเท่านั้น แต่ยังได้รับ คุณค่าทางโภชนาการ จากโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุที่มีในอาหารทะเลอีกด้วย
ความเป็นมาของเมนู “โป๊ะแตก”
คำว่า โป๊ะแตก มาจากการนำอาหารทะเลหลากหลายชนิดมาใส่รวมกัน คล้ายกับการ “แตกโป๊ะ” หรือการจับสัตว์ทะเลจากโป๊ะแล้วนำมาปรุงอาหาร ทำให้ได้เมนูที่มีส่วนผสมครบครัน ทั้งกุ้งสด หอยแมลงภู่ ปลาหมึก และปลา รวมถึงสมุนไพรไทยอย่าง ตะไคร้ ใบมะกรูด ข่า พริก และน้ำมะนาว
วัตถุดิบหลักของโป๊ะแตก
-
อาหารทะเลสด – กุ้ง หอย ปู ปลา ปลาหมึก
-
สมุนไพรไทย – ตะไคร้ ข่า ใบมะกรูด
-
เครื่องปรุงรส – พริกสด น้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลเล็กน้อย
-
น้ำซุป – ต้มจากหัวปลา หรือกุ้ง เพิ่มความหวานธรรมชาติ
วิธีทำโป๊ะแตกให้อร่อยจัดจ้าน
-
ต้มน้ำซุปใส่สมุนไพรไทย (ตะไคร้ ข่า ใบมะกรูด) เพื่อให้ได้กลิ่นหอม
-
ใส่อาหารทะเลตามลำดับความสุก เช่น ปลา → กุ้ง → ปลาหมึก → หอย
-
ปรุงรสด้วยน้ำปลา พริกสด บีบน้ำมะนาว
-
ตักเสิร์ฟร้อนๆ จะได้รสชาติแซ่บ เผ็ด เปรี้ยว และหอมสมุนไพร
ประโยชน์ของการกินโป๊ะแตก
-
ได้รับ โปรตีนคุณภาพสูง จากอาหารทะเล
-
มี โอเมก้า 3 จากปลาและกุ้ง
-
สมุนไพรไทยช่วย ขับลม ลดอาการท้องอืด
-
พริกสดช่วย กระตุ้นการเผาผลาญ
เคล็ดลับเลือกวัตถุดิบโป๊ะแตก
-
เลือกอาหารทะเลสด กลิ่นไม่คาว เนื้อแน่น
-
ใช้พริกสดแทนพริกแห้ง จะได้รสเผ็ดหอมเฉพาะตัว
-
น้ำมะนาวคั้นสดจะทำให้รสชาติกลมกล่อมกว่าน้ำส้มสายชู
อ้างอิง
หากต้องการดูข้อมูลโภชนาการอาหารทะเลเพิ่มเติม สามารถเข้าไปที่ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เพื่อศึกษาเรื่องสารอาหารและประโยชน์ต่อสุขภาพ
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q1: โป๊ะแตกต่างจากต้มยำอย่างไร?
A: โป๊ะแตกจะใช้อาหารทะเลหลากหลายชนิดเป็นหลัก และเน้นรสจัดจ้านเผ็ดเปรี้ยวมากกว่าต้มยำ
Q2: โป๊ะแตกเหมาะกับคนลดน้ำหนักไหม?
A: เหมาะมาก เพราะมีแคลอรี่ไม่สูง ให้โปรตีนสูง และช่วยเร่งการเผาผลาญ
Q3: สามารถใช้เนื้อสัตว์อื่นแทนอาหารทะเลได้ไหม?
A: ได้ เช่น หมู ไก่ หรือเนื้อ แต่รสชาติจะไม่จัดจ้านและไม่หอมทะเลเหมือนต้นตำรับ


