รู้จักออม
ถ้าต้องการลงทุน ขอแนะนำให้เริ่มต้นที่ การออมก่อน ซึ่งเป็นการสร้างวินัยทางการเงินให้แก่ตนเองในการทยอยเก็บเงินทีละเล็กละน้อยให้มีจำนวนพอกพูนขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปในรูปแบบที่มีความปลอดภัย มีความเสี่ยงต่ำ เพื่อรักษาเงินต้นไว้ โดยผลตอบแทนจากเงินออมอาจไม่ได้สูงมากนัก ยกตัวอย่าง เช่น เงินฝากออมทรัพย์หรือเงินฝากประจำรายเดือนแบบปลอดภาษี จนกระทั่งสามารถเก็บเงินได้จำนวนหนึ่ง จึงค่อยเริ่มลงทุน ด้วยการแบ่งเงินก้อนที่ได้จากการเก็บหอมรอมริบส่วนหนึ่งไปลงทุนในผลิตภัณฑ์เพื่อการลงทุน เช่น หุ้น ตราสารหนี้ กองทุนรวม Exchange Traded Fund หรือ ETF สัญญาซื้อขายล่วงหน้าและทางเลือกในการลงทุนอื่น ๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนให้สูงขึ้นกว่าการออม
หรืออีกทางเลือกหนึ่ง คือ ทุกครั้งที่มีรายได้เข้ามา ให้แบ่งเงินนั้นออกเป็นส่วน ๆ ตามวัตถุประสงค์ต่าง ๆ โดยแบ่งส่วนหนึ่งมาเลือกออมหรือลงทุนอย่างสม่ำเสมอตามความเหมาะสม
จำนวนเงินที่สามารถนำไปลงทุนได้ คือ เงินก้อนที่มีอยู่ หักด้วยค่าใช้จ่ายจำเป็น ภาระผูกพัน และเงินสำรองเผื่อไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน แต่มีข้อควรคำนึงคือ ผู้ลงทุนต้องสามารถยอมรับความเสี่ยงประเภทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์เพื่อการลงทุนนั้น ๆ ได้ เพื่อแลกกับโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น เนื่องจากการลงทุนมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินต้น
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์เพื่อการลงทุนและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง เช่น หุ้น หรือ กองทุนรวม ที่เปิดโอกาสการทำกำไรจากส่วนต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขายหลักทรัพย์หรือหน่วยลงทุน (Capital Gain) แต่ในทางกลับกันก็มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนเพราะราคาขายต่ำกว่าราคาซื้อ (Capital Loss) เช่นกัน รวมทั้งมีโอกาสที่จะได้รับเงินปันผลตามผลประกอบการและนโยบายปันผล ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ แม้ว่าจะมีความผันผวนด้านราคาต่ำกว่าตราสารทุน แต่ก็สามารถขาดทุนได้จากราคาตราสารหนี้ที่โดยมากจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตรงกันข้ามกับอัตราดอกเบี้ย นอกจากนั้นยังต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงด้านเครดิตหรือความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสารด้วย
ทั้งนี้ เงินฝากประจำ หรือ สลากออมทรัพย์ก็อาจมองได้ว่าเป็นการลงทุน เพราะผู้ลงทุนยอมที่จะสูญเสียสภาพคล่องของตนเองไป ไม่สามารถนำเงินสดออกไปใช้ได้ในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อแลกกับการได้รับดอกเบี้ยที่สูงขึ้นหรือโอกาสที่จะถูกรางวัล
รู้จักตนเอง
วัตถุประสงค์ในการลงทุนของคุณคืออะไร
ตัวอย่าง วัตถุประสงค์ในการลงทุน เช่น ลงทุนเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินต่าง ๆ ได้แก่ ซื้อรถ ซื้อบ้าน ศึกษาต่อต่างประเทศ หรือลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงยเพียงพอสำหรับ
การใช้จ่ายหลังเกษียณ หรือลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี และยังมีคำถามที่ตามมา คือ ต้องการเงินจำนวนเท่าไหร่ เพื่อใช้ทำอะไร ภายในระยะเวลาเท่าไหร่ ระยะสั้น (ไม่เกิน 1 ปี)
ระยะกลาง (1-3 ปี) หรือ ระยะยาว (3 ปีขึ้นไป) แต่หัวใจสำคัญ คือ การเลือกลงทุนในสิ่งที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในการลงทุนของตนเอง ขอยกตัวอย่างการเตรียมเงินไว้สำหรับการพาครอบครัวไปท่องเที่ยวต่างประเทศในอีก 6 เดือนข้างหน้า หากเรานำเงินไปลงทุนโดยตรงในตลาดหลักทรัพย์ หรือซื้อกองทุนรวมตราสารทุน มีความเป็นไปได้ที่ในอีก 6 เดือนต่อมา ราคาหลักทรัพย์หรือมูลค่าหน่วยลงทุนจะต่ำลง ซึ่งเรามีความจำเป็นต้องยอมรับผลขาดทุนโดยขายหลักทรัพย์หรือหน่วยลงทุนนั้นเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายตามกำหนด มิหนำซ้ำถ้าราคาต่ำลงมากก็อาจเหลือเงินไม่เพียงพอสำหรับใช้จ่ายก็เป็นได้ ในกรณีนี้ เราควรนำเงินไปฝากประจำหรือซื้อกองทุนรวมตราสารหนี้ ที่มีระยะเวลาครบกำหนดไม่เกิน 6 เดือน จะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า ซึ่งโดยทั่วไป เงินฝากประจำและตราสารหนี้ที่อายุยาวกว่าจะมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าระยะสั้น นอกจากนี้ ความผันผวนของราคาหลักทรัพย์หรือหน่วยลงทุน ในระยะสั้น อาจไม่กระทบต่อผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาวก็ได้
อัตราผลตอบแทนที่คาดหวังเป็นอย่างไร และคุณสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด
ผลตอบแทนที่สูงขึ้นมักมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเสมอ (high risk, high return) ทั้งนี้ ความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละบุคคลย่อมแตกต่างกัน ขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น
| นักลงทุนที่มีอายุน้อย หรือมีความตั้งใจที่จะลงทุนในระยะยาว ย่อมยอมรับความเสี่ยงได้มากกว่านักลงทุนที่มีอายุมากขึ้นหรือสามารถลงทุนได้ในช่วงเวลาที่สั้นกว่า เพราะมีความเป็นไปได้น้อยกว่าที่จะมีความจำเป็นต้องนำเงินที่ไปลงทุนไว้ออกมาใช้ในช่วงที่สินทรัพย์มีราคาต่ำ |
| นักลงทุนที่มีฐานะการเงินดีซึ่งหมายถึงมีสินทรัพย์สภาพคล่องและสินทรัพย์เพื่อการลงทุนเป็นจำนวนมาก โดยเงินที่นำมาลงทุนนั้นเป็นสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับความมั่งคั่งสุทธิ ตลอดจนมีความสามารถในการหารายได้และการออม มีระยะเวลาที่จะไม่ใช้เงินที่นำมาลงทุนจำนวนนั้นนานกว่า และมีความต้องการรายได้จากการลงทุนเพื่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันน้อยกว่า มักจะยอมรับความเสี่ยงได้มากกว่า |
| แม้แต่นักลงทุนที่มีอายุเท่ากันและมีฐานะการเงินระดับเดียวกัน ก็มีความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยและทัศนคติส่วนบุคคลด้วย จะสังเกตได้ว่าในช่วงที่ตลาดการเงินมีความผันผวน นักลงทุนหลายคนยังคงรู้สึกสบาย ๆ แต่บางคนถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ ดังนั้น ก่อนการตัดสินใจลงทุน อย่าลืมถามตนเองว่าเป็นคนประเภทใด สามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด |
ทั้งนี้ ตามข้อกำหนดของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ผู้ลงทุนต้องทำแบบประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของผู้ลงทุน
(Customer Risk Profile) ทุก ๆ 2 ปี เพื่อให้ทราบถึงระดับความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนแต่ละคนยอมรับได้ และเป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับการตัดสินใจลงทุนด้วย