
วิตามินบี 2 แหล่งอาหาร ที่ควรรู้เพื่อสุขภาพที่ดี
วิตามินบี 2 (Riboflavin) เป็นหนึ่งในวิตามินที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ จำเป็นต้องได้รับจาก อาหารที่มีวิตามินบี 2 สูง เพื่อช่วยในกระบวนการเผาผลาญพลังงาน เสริมการทำงานของระบบประสาท และบำรุงผิวพรรณ
วิตามินบี 2 คืออะไร?
วิตามินบี 2 หรือไรโบฟลาวิน เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายไม่กักเก็บ จึงต้องได้รับเป็นประจำทุกวัน การขาดวิตามินนี้อาจทำให้เกิดอาการ ปากแห้ง มุมปากแตก ตาอักเสบ และผิวหนังอักเสบ ได้
แหล่งอาหารที่มีวิตามินบี 2 สูง
การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการได้ วิตามินบี 2 ตามธรรมชาติ โดยแหล่งอาหารหลัก ได้แก่
-
เนื้อสัตว์: ตับหมู ตับไก่ เนื้อวัว ไข่ไก่
-
ผลิตภัณฑ์นม: นมสด โยเกิร์ต ชีส
-
ธัญพืชและถั่ว: อัลมอนด์ ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ข้าวโอ๊ต
-
ผักใบเขียว: ผักโขม คะน้า บร็อกโคลี
-
อาหารเสริม: ผู้ที่ขาดวิตามินบี 2 อาจได้รับจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
ประโยชน์ของวิตามินบี 2
-
ช่วยให้ร่างกายเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีนเป็นพลังงาน
-
บำรุง ดวงตา ผิวพรรณ และเส้นผม
-
ลดความเสี่ยงของอาการปากนกกระจอก
-
สนับสนุนการเจริญเติบโตของเด็กและวัยรุ่น
ปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน
ปริมาณวิตามินบี 2 ที่แนะนำต่อวัน (RDI) คือ
-
ผู้ชายวัยผู้ใหญ่: ประมาณ 1.3 มก./วัน
-
ผู้หญิงวัยผู้ใหญ่: ประมาณ 1.1 มก./วัน
อ้างอิงจาก: กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
คำแนะนำในการรับประทาน
-
รับประทานอาหารที่สดใหม่ หลากหลายครบ 5 หมู่
-
หลีกเลี่ยงการปรุงอาหารด้วยความร้อนสูงเกินไป เพราะอาจทำให้วิตามินบี 2 สลายได้
-
ผู้ที่ทานมังสวิรัติ ควรเสริมด้วยผลิตภัณฑ์จากนม หรือถั่วเพื่อป้องกันการขาด
Q&A วิตามินบี 2
Q1: ถ้าขาดวิตามินบี 2 จะเกิดอะไรขึ้น?
A: อาจมีอาการปากแตก มุมปากอักเสบ ตาแสบ หรือผิวหนังอักเสบ
Q2: วิตามินบี 2 ต่างจากวิตามินบีชนิดอื่นอย่างไร?
A: วิตามินบี 2 เน้นการช่วยสร้างพลังงานจากอาหาร ส่วนบีตัวอื่นมีหน้าที่เฉพาะ เช่น บี 12 ช่วยเรื่องประสาทและเม็ดเลือดแดง
Q3: สามารถกินวิตามินบี 2 เกินได้ไหม?
A: โดยทั่วไปการทานเกินจะถูกขับออกทางปัสสาวะ แต่หากเป็นอาหารเสริมควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมตามคำแนะนำแพทย์
? สรุป: การได้รับ วิตามินบี 2 จากอาหารธรรมชาติ อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ร่างกายทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และลดปัญหาสุขภาพระยะยาว








