คำไวพจน์

3 คำไวพจน์ คำพ้องเสียงความหมายท้องฟ้าดอกไม้?

คำไวพจน์

ความหมายของคำไวพจน์ คือ คำศัพท์ที่มีความหมายเหมือนกัน หรืออีกนัยหนึ่งคือ คำศัพท์ที่มีความหมายคล้ายกันมาก แต่เขียนออกมาไม่เหมือนกัน หลายคนเรียกกันว่าการหลากคำ ซึ่งประกอบไปด้วย คำพ้องเสียง ,คำพ้องรูป ,คำพ้องความหมายคำไวพจน์

คำไวพจน์

โดยอิงความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2552 ได้นิยามคำไวพจน์ไว้ว่า “คำที่เขียนต่างกันแต่มีความหมายที่เหมือนกันหรือคล้ายกันเป็นอย่างมาก เช่นคำว่า มนุษย์กับคน ,ป่ากับดง ,บ้านกับเรือน ,รอกับคอย” เป็นต้น จะสังเกตุได้ว่าคำศัพท์เหล่านี้มีความหมายที่เหมือนหรือคล้ายกัน แต่การเขียนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ประเภทของคำไวพจน์ประเภทของคำไวพจน์

ประเภทของคำไวพจน์

แบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังต่อไปนี้

1.คำพ้องรูป หมายถึง คำที่มีรูปเขียนเหมือนกัน อาจจะอ่านออกเสียงเหมือนกันหรือแตกต่างกันก็ได้ และความหมายโดยรวมก็สื่อความหมายที่ต่างกันเช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่นคำว่า พยาธิ หากอ่านออกเสียงว่า พะ – ยา – ทิ จะแปลว่า ความเจ็บไข้ได้ป่วย

แต่ถ้าหากอ่านออกเสียงว่า พะ – ยาด จะแปลว่า เชื้อโรคชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ในร่างกาย อาจเกิดขึ้นจากการที่กินอาหารไม่สุก เป็นต้น

2.คำพ้องเสียง หมายถึง คำที่มีรูปเขียนต่างกัน อ่านออกเสียงเหมือนกัน แต่ความหมายโดยรวมสื่อความหมายที่ไม่เหมือนกัน

ยกตัวอย่างเช่นคำว่า กัน ,กันต์ ,กรรณ ,กัณฐ์ ,กัลป์ และ กันย์ จะเห็นได้ว่าได้หกคำนี้อ่านออกเสียงว่า ‘กัน’ ทั้งสิ้น แต่ความหมายของแต่ละคำแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มีความหมายดังต่อไปนี้

  1. กัน แปลว่า ลักษณะท่าทางของการบัง หรือห้าม
  2. กันต์ แปลว่า การโกนหรือการตัดออก
  3. กรรณ แปลว่า อวัยวะหู
  4. กัณฐ์ แปลว่า อวัยวะคอ
  5. กัลป์ แปลว่า ระยะเวลาที่ยาวนาน
  6. กันย์ แปลว่า ชื่อของจักรราศีที่หก เรียกว่า ราศีกันย์

3.คำพ้องความหมาย หมายถึง คำที่ต่างทั้งรูปและเสียง กล่าวคือเขียนไม่เหมือนกันและอ่านออกเสียงไม่เหมือนกัน แต่เป็นคำที่มีความหมายเหมือนกันหรือใกล้เคียงกัน

ยกตัวอย่างคำไวพจน์ ท้องฟ้า มีคำที่เขียนไม่เหมือนกันและอ่านออกเสียงไม่เหมือนกัน แต่มีความหมายที่เหมือน ดังคำศัพท์ต่อไปนี้ เวหา ,นภ ,ทิฆัมพร ,คคนางค์ ,อัมพร และหาว เป็นต้น

ยกตัวอย่างคำไวพจน์ ดอกไม้

มีคำที่เขียนไม่เหมือนกันและอ่านออกเสียงไม่เหมือนกัน แต่มีความหมายที่เหมือน ดังคำศัพท์ต่อไปนี้ บุปผา ,บุปผชาติ ,บุหงา ,บุษบัน ,ผกา ,มาลา และ บุษบา เป็นต้น

ยกตัวอย่างคำไวพจน์ ช้าง

มีคำที่เขียนไม่เหมือนกันและอ่านออกเสียงไม่เหมือนกัน แต่มีความหมายที่เหมือน ดังคำศัพท์ต่อไปนี้ กุญชร ,กรี ,ดำริ ,คชาธาร ,หัสดี ,คช ,คชินทร์ และหัตถี เป็นต้น

ยกตัวอย่างคำไวพจน์ ผู้หญิง

มีคำที่เขียนไม่เหมือนกันและอ่านออกเสียงไม่เหมือนกัน แต่มีความหมายที่เหมือน ดังคำศัพท์ต่อไปนี้ แก้วตา ,นงคราญ ,บังอร ,สตรี ,อรไท ,ดวงสมร ,นงพะงา และร้อยชั่ง เป็นต้น

ยกตัวอย่างคำไวพจน์ น้ำ

นที ,สาคร ,ชลาลัย ,ชโลทร ,คงคา ,สินธุ์ ,สมุทร และอุทก เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีคำพ้องรูปพ้องเสียง ซึ่งมีคำนิยามคือ คำศัพท์ที่เขียนเหมือนกัน อ่านออกเสียงเหมือนกัน แต่ความหมายโดยรวมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้ความหมายจะขึ้นอยู่กับคำที่นำมาประสมอยู่ในประโยคทำให้บริบทของคำนั้นเปลี่ยนแปลงไป

คำพ้องรูปพ้องเสียง

ยกตัวอย่างคำพ้องรูปพ้องเสียง ดังต่อไปนี้

คำว่าขัน สามารถแปลได้หลายความหมายขึ้นอยู่กับการนำไปใช้

  1. ขันความหมายที่ 1 แปลว่า ทำให้ตึง
  2. ขันความหมายที่ 2 แปลว่า น่าหัวเราะ
  3. ขันความหมายที่ 3 แปลว่า ภาชนะที่ใช้สำหรับตักน้ำ

คำว่าเขา สามารถแปลได้หลายความหมายขึ้นอยู่กับการนำไปใช้

  1. เขาความหมายที่ 1 แปลว่า เนินที่นูนสูง
  2. เขาความหมายที่ 2 แปลว่า สิ่งที่งอกออกมาจากศีรษะของสัตว์ มีลักษณะที่แข็ง
  3. เขาความหมายที่ 3 แปลว่า ชื่อของนกชนิดหนึ่ง ลำตัวมีลักษณะเป็นลายและมีขนสีน้ำตาลแดง
  4. เขาความหมายที่ 4 แปลว่า คำที่ใช้พูดถึงสรรพนามบุรุษที่สาม เป็นคนที่เรากำลังพูดถึง

และนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของตัวอย่างของคำไวพจน์ ในภาษาไทยยังมีความหมายของภาษาไทยให้เราได้เรียนรู้ศึกษาอีกมาก เราสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมคำไวพจน์ต่างๆ ได้ในขณะที่เราฟังข่าวในชีวิตประจำวัน และข่าวมีกี่ประเภท เราได้รวบรวมประเภทของข่าวมาให้คร่าวๆ จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

  1. ข่าวการเมือง
  2. ข่าวสังคม
  3. ข่าวเศรษฐกิจ
  4. ข่าวอาชญากรรม
  5. ข่าวบันเทิง
  6. ข่าวกีฬา
  7. ข่าวไอที

คำที่มาจากภาษาบาลีและสันสกฤต

หากเราต้องการทราบว่าคำศัพท์ที่ใช้ในปัจจุบันมีคำไหนบ้างที่เป็นคำไทยแท้ และคำไหนบ้างที่มาจากภาษาบาลีและสันสกฤต เชื่อว่าหลายๆ คนคงยังไม่ทราบว่าภาษาบาลีและสันสกฤตได้เข้ามามีบทบาทกับภาษาไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นไปได้ว่าบางคำที่ใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวันอาจไม่ใช่คำไทยแท้ แต่อาจเป็นคำจากภาษาบาลีและสันสกฤตก็เป็นได้ มีหลักข้อสังเกตุง่ายๆ 4 ข้อ ดังต่อไปนี้คำที่มาจากภาษาบาลีและสันสกฤต

คำที่มาจากภาษาบาลีและสันสกฤต

  1. ภาษาบาลีและสันสกฤต มักเป็นคำที่มีหลายพยางค์ เช่นคำว่า กษัตริย์ ,พฤกษา ,ศาสนา ,อุทยาน และทัศนะ เป็นต้น
  2. ภาษาบาลีและสันสกฤต มักมีตัวสะกดที่ไม่ตรงมาตราตัวสะกด เช่นคำว่า เทวัญ ,เนตร , อากาศ ,พิเศษ ,อังคาร และอาหาร เป็นต้น
  3. ภาษาบาลีและสันสกฤต มักนิยมใช้ตัวการันต์ เช่นคำว่า กาญจน์ ,เกณฑ์ ,มนุษย์ ,สัมภาษณ์ และอาทิตย์ เป็นต้น
  4. ภาษาบาลีและสันสกฤต มักประสมด้วยพยัญชนะ ฆ ,ฌ ,ฎ ฏ ,ฐ ,ฑ ,ฒ ,ณ ,ภ ,ศ ,ษ ,ฤ ,ฤๅ เช่นคำว่า วัฒนา ,เณร ,โลภ ,ฤทัย ,พยัคฆ์ ,อัชฌาสัย ,กฎ ,ปรากฏ ,สัณฐาน ,ครุฑ และปฏิบัติ เป็นต้น

หมายเหตุ : แต่มีข้อยกเว้นสำหรับคำว่า ฆ่า ,เฆี่ยน ,ฆ้อง ,ศอก ,ศึก ,เศิก และเศร้า เป็นคำไทยแท้ทั้งหมด

นอกจากจะได้ใช้คำไวพจน์ในชีวิตประจำวัน ยังมีคำไวพจน์อีกหลายคำที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ อย่างเช่นคำไวพจน์ ป่าไม้ มีคำที่เขียนไม่เหมือนกันและอ่านออกเสียงไม่เหมือนกัน แต่มีความหมายที่เหมือน ดังคำศัพท์ต่อไปนี้ อรัญญิก พงพนา ,ไพรวัน ,พงพี ,พงไพร ,ไพร ,พง, ดง ,อารัญ ,พนา ,ชัฏ ,พนัส และพนา เป็นต้น

เกร็ดความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับธรรมชาติ ประเภทของป่าไม้ในประเทศไทย ประกอบไปด้วย 2 ประเภทใหญ่ นั่นก็คือ ประเภทป่าดงดิบหรือป่าไม่ผลัดใบ (Evergreen forest) และประเภทป่าผลัดใบ (Deciduous Forest) และยังมีคำที่เราใช้กันเป็นประจำ แต่อาจไม่รู้คำไวพจน์ของคำนั้นๆ อีกมาก ยกตัวอย่างเช่น

  • คำไวพจน์ ดวงจันทร์ มีคำที่เขียนไม่เหมือนกันและอ่านออกเสียงไม่เหมือนกัน แต่มีความหมายที่เหมือน ดังคำศัพท์ต่อไปนี้ บุหลัน ,พิธุ ,มนทก ,มาส ,รชนีกร ,รัตติกร ,กลา ,แข ,จันทร์ ,นิศาบดี  ,วิธู ,ศศิ ,ศศิน ,ศิตางคุ์ และโสม เป็นต้น
  • คำไวพจน์ นก มีคำที่เขียนไม่เหมือนกันและอ่านออกเสียงไม่เหมือนกัน แต่มีความหมายที่เหมือน ดังคำศัพท์ต่อไปนี้ บุหรง ,สกุณี ,สกุณา ,ทิชากร ,ทวิช ,สกุณ ,วิหค และปักษี เป็นต้น
  • คำไวพจน์ แม่ มีคำที่เขียนไม่เหมือนกันและอ่านออกเสียงไม่เหมือนกัน แต่มีความหมายที่เหมือน ดังคำศัพท์ต่อไปนี้ นนทลี ,มารดา ,มาตุเรศ ,มาตุรงค์ ,มาตุ ,ชนนี ,ชเนตตี และมารดร เป็นต้น
  • คำไวพจน์ พระอาทิตย์ มีคำที่เขียนไม่เหมือนกันและอ่านออกเสียงไม่เหมือนกัน แต่มีความหมายที่เหมือน ดังคำศัพท์ต่อไปนี้ ทิวากร ,ภาสกร ,รวี ,ระพี ,ทิพากร ,ทินกร ,รวิ และรพิ เป็นต้น

สำหรับคำด่าที่เรามักพบเจอหรือได้ยินกันเป็นประจำก็มีคำที่มีความหมายคล้ายกัน เช่นคำว่า สถุล หมายถึง ต่ำช้า ,ชั่วช้า หรือเลวทราม เป็นต้น อาจจะไม่ได้ด่าโดยตรงว่าคนชั่ว คนเลว คนสารเลว แต่ใช้คำว่า คนสถุลแทน ก็ทำให้คนฟังรู้สึกเจ็บแสบได้เลยทีเดียว

ขอยกตัวอย่างคำพ้องเสียงพร้อมความหมายเพิ่มเติม คำพ้องเสียงจะเหมือนการเล่นคำ เป็นการอ่านออกเสียงเหมือนกัน แต่เขียนต่างกัน และความหมายก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง ดังตัวอย่างต่อไปนี้

  • คำว่าเกด ที่แปลว่า ชื่อต้นไม้ ,ลูกองุ่น และปลาน้ำจืด มีคำพ้องเสียง ได้แก่ คำว่าเกตุ ที่แปลว่า ชื่อดาว ,ธง และคำว่าเกศ ที่แปลว่า ผม เป็นต้น
  • คำว่าข้า ที่แปลว่า บ่าวไพร่ ,คนรับใช้ หรือคำที่ใช้แทนตัวผู้พูด มีคำพ้องเสียง ได้แก่ คำว่าค่า ที่แปลว่า ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่คิดเป็นเงินไม่ได้ มีคุณค่าทางจิตใจ และคำว่าฆ่า ที่แปลว่า การทำลาย หรือทำให้เสียชีวิต เป็นต้น

ตัวอย่างคำพ้องรูป

พร้อมความหมายเพิ่มเติม ได้แก่คำว่า เพลา อ่านว่า เพ – ลา ที่แปลว่า กาลเวลา และเพลา ที่อ่านว่า เพลา แปลว่า แกนสำหรับสอดในดุมรถหรือดุมเกวียน หรือเป็นไม้สำหรับขึงใบเรือ เป็นต้น

คำประสมหมายถึง

การนำคำที่มีความหมายที่ต่างกันตั้งแต่สองคำขึ้นไป มารวมกันและเกิดเป็นคำใหม่ หรือเรียกว่าเป็นคำผสม ก่อให้เกิดเป็นคำใหม่ที่มีความหมายใหม่ แต่ยังคงความหมายของคำเดิมไว้บ้าง ยกตัวอย่างเช่นคำว่า ลูก + เสือ อ่านว่า ลูกเสือ แปลว่า นักเรียนที่แต่งเครื่องแบบ ,หาง + เสือ อ่านว่า หางเสือ แปลว่า อุปกรณ์ที่ใช้บังคับทิศทางของเรือ เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีคำที่มีความหมายโดยตรงและโดยนัย มีความหมายดังต่อไปนี้

ความหมายของภาษาไทยสำหรับคำที่มีความหมายโดยตรง

หมายถึง คำที่มีความหมายตรงตัว เช่นคำว่า ดาว สามารถแปลความหมายได้ตรงตัวคือ สิ่งที่อยู่บนท้องฟ้าส่องสว่างระยิบระยับ เราเรียกกันว่า ดาว เป็นต้น

และคำที่มีความหมายโดนนัย หรือเรียกอีกชื่อว่า นัยประหวัด หมายถึง คำที่มีความหมายไม่ตรงตัว หลังได้ยินหรืออ่านแล้วต้องแปลความอีกครั้งตามบริบทที่พูดคุยกัน เช่นคำว่า กิน ที่หมายถึง กิริยาของคนที่กำลังกินสิ่งได้สิ่งหนึ่ง เช่น กินข้าว ,กินผลไม้ ,กินขนม เป็นต้น แต่ถ้าหากมีกลุ่มคนพูดว่า “เบื้องหลังพวกนั้นก็กินหมด” จะแปลความหมายไปอีกแบบทันที ซึ่งมีความหมายโดยนัยที่แปลว่า การฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือการคอรัปชั่น นั่นเอง

ในปัจจุบันได้มีการนำการศึกษาอย่าง IS เข้ามามีบทบาทในการศึกษาไทยมากขึ้น และการศึกษาแบบ IS คืออะไร เราหาคำตอบมาให้คุณแล้วIndependent Study (IS) คือ การศึกษาอิสระ หรือการค้นคว้าอิสระ ถือเป็นหนึ่งในรูปแบบการศึกษาที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหลากหลายแขนงวิชาในปัจจุบัน โดยจุดเด่นของ IS คือ จะเน้นเรื่องความเป็นมาตรฐานและการมีระเบียบแบบแผนให้ผู้ที่เข้ามาศึกษาได้เดินตามอย่างเป็นระบบและชัดเจน อีกทั้งยังมีกระบวนการที่เข้าใจง่าย สอดคล้องกับกระบวนการของการศึกษา โดยแบ่งออกเป็น 5 ส่วน หรือที่เรียกกันว่า ‘บันได 5 ขั้น สู่วิชา IS’ หากทำตามทั้ง 5 ขั้นตอนก็จะได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ประกอบไปด้วยดังนี้

  • เนื้อหาส่วนบทนำ
  • เนื้อหาส่วนแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
  • เนื้อหาส่วนระเบียบวิธีวิจัย
  • เนื้อหาส่วนของผลการศึกษา
  • เนื้อหาส่วนสรุปและอภิปรายผล

บันไดทั้ง 5 นี้เป็นการวางรากฐานสำหรับการศึกษาอย่างอิสระเพื่อเป็นแนวทางในการหาคำตอบให้กับสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ และพัฒนาต่อไป

คำอัพภาส

คำอัพภาส คือ เป็นคำซ้ำในไวยากรณ์ภาษาบาลีและสันสกฤต ที่กร่อนเสียงของคำข้างหน้าให้สั้นลงเหลือเพียงเสียง อะ ดังตัวอย่างต่อไปนี้คำอัพภาส

คำอัพภาส

  • ริกริก กร่อนเสียงให้สั้นลงเป็น ระริก
  • ยิบยิบ กร่อนเสียงให้สั้นลงเป็น ยะยิบ
  • วับวับ กร่อนเสียงให้สั้นลงเป็น วะวับ
  • รื่นรื่น กร่อนเสียงให้สั้นลงเป็น ระรื่น
  • ฉานฉาน กร่อนเสียงให้สั้นลงเป็น ฉะฉาน เป็นต้น

ลักษณะคำไทยแท้ในภาษาไทย หมายถึง คำไทยที่มีลักษณะพยางค์เดียว หรือเรียกว่าเป็น ภาษาคำโดด และมีความหมายสมบูรณ์ในคำๆ นั้น มีวิธีสังเกตุลักษณะคำไทยแท้ ดังนี้

  1. เป็นคำพยางค์เดียว และมีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง เช่นคำว่า ฟ้า ,ฝน ,มีด ,ตู้ ,ปู่ ,ย่า ,แขน ,ขา ,หมา ,กบ เป็นต้น หรือถ้าหากมีหลายพยางค์จะเรียกว่า การกร่อนเสียง ,การแทรกเสียง และการเติมพยางค์ท้าย
    • การกร่อนเสียง เช่นคำว่า หมากม่วง กร่อนเสียงเป็น มะม่วง ,ตาวัน กร่อนเสียงเป็น ตะวัน หรือสายดือ กร่อนเสียงเป็น สะดือ เป็นต้น
    • การแทรกเสียง เช่นคำว่า ลูกเดือก แทรกเสียงเป็น ลูกกระเดือก ,นกจอก แทรกเสียงเป็น นกกระจอก เป็นต้น
  2. คำไทยแท้มักเป็นคำที่มีตัวสะกดเดียว และตัวสดตรงตามมาตรา เช่น
    • แม่กง สะกดด้วยตัว ง เช่น เก่ง ,นั่ง ,พิง ,ถัง ,กรง เป็นต้น
    • แม่กน สะกดด้วยตัว น เช่น กิน ,นอน ,ฉุน ,เห็น ,เพลิน เป็นต้น
    • แม่กม สะกดด้วยตัว ม เช่น ชาม ,หอม ,ดื่ม ,ตุ่ม ,จาม เป็นต้น
  3. คำไทยแท้มักไม่มีพยัญชนะ ฆ ฌ ญ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ธ ภ ศ ษ ฬ
  4. คำไทยแท้มักใช้ไม้ม้วน (ใ) ได้แก่คำว่า ใหญ่ ,ใหม่ ,ให้ ,สะใภ้ ,ใช้ ,ใฝ่ ,ใจ ,ใส่ ,หลงใหล ,ใคร ,ใคร่ ,ใบ ,ใส ,ใด ,ใน ,ใช่ ,ใต้ ,ใบ้ ,ใย และใกล้
  5. คำไทยมักมีรูปวรรณยุกต์ เช่น ปา ,ป่า ,ป้า ,ป๊า ,ป๋า เป็นต้น
  6. คำไทยมักไม่นิยมใช้ตัวการันต์และคำควบกล้ำ เช่นคำว่า วิ่ง ,กวน ,ปีน ,จับ เป็นต้น

และยังมีคำอีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่าคำเป็น ขอยกตัวอย่างคำเป็นมีอะไรบ้าง ดังต่อไปนี้

  1. คำเป็นมักมีพยัญชนะประสมกับสระเสียงยาวในแม่ ก กา เช่นคำว่า ดู ,ปู ,มา ,ปี เป็นต้น
  2. คำเป็นมักมีพยัญชนะประสมกับสระ  –ำ ,ใ  ,ไ ,เ-า  เช่นคำว่า  กำ ,น้ำ ,ใจ ,เป่า ,เกา ,ไป เป็นต้น
  3. คำเป็นมักตัวสะกดอยู่ในแม่ กง ,กน ,กม ,เกย ,เกอว เช่นคำว่า ปลิง ,กัน ,กลม ,สาว เป็นต้น

สำหรับคำไวพจน์ที่เป็นคำพ้องรูป ,คำพ้องเสียง และคำพ้องความ ยังมีอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคำไวพจน์เกี่ยวกับสัตว์ ,คน ,ธรรมชาติ ,ชมเชย ,ร่างกาย ฯลฯ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

  • คำพ้องความหมาย ควาย คำไวพจน์ คือ มหิษ ,มหิงส์ ,กาสร ,มหิงสา และลุลาย เป็นต้น
  • คำพ้องที่เป็นความหมายของป่าไม้ คำไวพจน์ คือ พนาดร ,ไพรวัน ,อรัญญิก และดง เป็นต้น
  • บุปผา แปลว่า ดอกไม้ มีคำไวพจน์ คือ บุปผชาติ ,บุษบา ,บุหงา ,บุษบง และมาลา เป็นต้น
  • คำไวพจน์ สวย คือ โสภณ ,รุจิเรข ,วิศิษฏ์ ,งาม ,เสาวภาคย์ ,พะงา และขวร เป็นต้น
  • ม้า คำไวพจน์ คือ สินธพ ,อาชาไนย ,อัศว ,ดุรงค์ ,มโนมัย ,พาชี ,ไหย และแสะ เป็นต้น
  • คำไวพจน์ ไฟ คือ อัคนี ,เพลิง ,อัคคี ,เดช และปราพก เป็นต้น
  • คำที่หมายถึงป่า เพิ่มเติม ได้แก่ ชัฏ ,พนัส ,พงพนา ,เถื่อน และพนาลี เป็นต้น
  • ชื่อที่แปลว่าพระอาทิตย์ มีคำไวพจน์ คือ สุริย์ ,อโณทัย ,ทินกร ,ประภากร และตะวัน เป็นต้น
  • คำไวพจน์ เมือง คือ ธานินทร์ ,ธานี ,นครินทร์ ,สถานิย ,บุรี ,ราชธานี และนคร เป็นต้น
  • คำไวพจน์ ใจ คือ มโน ,ดวงหทัย ,ฤทัย ,กมล ,ฤดี และมน เป็นต้น
  • คำไวพจน์ สวรรค์ คือ สรวง ,สุราลัย ,ศิวโลก ,สุคติ ,ไตรทิพย์ และไตรทศาลัย เป็นต้น
  • คำไวพจน์ แม่น้ำ คือ ชลาสินธุ์ ,มหาสมุทร ,สทิง ,คลอง และสายชล เป็นต้น
  • คำพ้องความหมายพระจันทร์ มีคำไวพจน์ คือ นิศากร ,มนทก ,รชนีกร และศิตางคุ์ เป็นต้น

ประวัติลีลาศในประเทศไทย

การเต้นรำประเภทลีลาศมีมาตั้งแต่ยุคพันปีก่อน แต่สามารถระบุเวลาได้แน่ชัดถึงการเต้นรำประเภทนี้ในช่วงประมาณปีพุทธศักราช 1943 หรือปีคริสต์ศักราช 1400 เป็นการเต้นรำแบบก้าวเดินตามจังหวะดนตรี เรียกการเต้นรำแบบนี้ว่า การเต้นรำแบบบอลรูม ถือเป็นกิจกรรมที่เชื่อมสัมพันธ์อันดีระหว่างชนชาติหรือเผ่าพันธุ์ต่างๆ และเป็นที่นิยมชื่นชอบของชาวตะวันตกมากเป็นพิเศษสำหรับประเทศไทยถึงไม่มีกิจกรรมการเต้นรำอย่างลีลาศ แต่ไทยเราก็ยังมีวรรณคดีมรดกที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ยุคอดีตจนถึงยุคปัจจุบันลีลาศ

ลีลาศ

วรรณคดีมรดกหมายถึง วรรณคดีที่ได้รับการยกย่องมาตั้งยุคอดีตและได้มีการสืบทอดมาจนถึงยุคปัจจุบัน เน้นในด้านวรรณศิลป์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในสมัยบรรพบุรุษ ทำให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการดำเนินชีวิตในสมัยของบรรพบุรุษกับการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน ซึ่งมีการถ่ายทอดออกมาในรูปแบบหนังสือ หรือที่เราเรียกว่า ‘วรรณกรรม’ และในรูปแบบงานนิพนธ์ เช่น จุลสาร ,สิ่งพิมพ์ ,ปาฐกถา ,เทศนา ,คำปราศรัย ,สุนทรพจน์ และสิ่งบันทึกเสียงภาพ ก็เปรียบได้กับลีลาศของชาวตะวันตก แต่สำหรับไทยเราออกมาในรูปแบบของวรรณคดีมรดกนั่นเอง

คำที่มีความหมายโดยตรงมักไม่ปรากฏในคำพ้องเสียงในภาษาไทย เพราะคำพ้องเสียงมักอ่านออกเสียงเหมือนกัน แต่รูปเขียนต่างกัน บางคำความหมายอาจไม่ตรงตัวก็เป็นได้

ภาษาไทยมีกี่ระดับภาษาไทย

ภาษาไทย

ในปัจจุบันมีทั้งหมด 5 ระดับ ประกอบด้วยดังต่อไปนี้

  1. ภาษาระดับพิธีการ เหมาะสำหรับการสื่อสารกับบุคคลสำคัญและงานที่เป็นพิธีการ
  2. ภาษาระดับทางการ เหมาะสำหรับการสื่อสารอย่างการอภิปรายหรือบรรยายอย่างเป็นทางการ
  3. ภาษาระดับกิ่งทางการ เหมาะสำหรับการสื่อสารในการประชุมกลุ่ม หรืออภิปรายกลุ่ม
  4. ภาษาระดับไม่เป็นทางการ เหมาะสำหรับการสื่อสารระหว่างกลุ่มคน 4-5 คน ใช้ถ้อยคำกันเองในระดับกลุ่มนั้นๆ
  5. ภาษาระดับกันเอง เหมาะสำหรับการสื่อสารที่มีความสนิทสนมกัน เช่น พ่อ ,แม่ ,เพื่อน เป็นต้น

คำไทยยังมีคำและความหมายที่สามารถสร้างให้เป็นบทกลอน หรือคำประพันธ์ที่ไพเราะได้อีกมาก เช่น การเล่นคำ คือ การเลือกใช้คำและพลิกแพลงคำเพื่อให้เกิดความหมายที่ต่างออกไป ประกอบไปด้วย 3 ชนิด ได้แก่ การเล่นคำพ้อง ,การเล่นคำซ้ำ และการเล่นคำเชิงคำถาม สำหรับบทเรียนนี้จะเน้นเฉพาะการเล่นคำพ้อง ที่เป็นการนำคำพ้องมาใช้คู่กันเพื่อให้เกิดความหมายที่สัมพันธ์กัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้

“นางนวลจับนางนวลนอน เหมือนพี่แนบนวลสมรจินตะหรา

จากพรากจับจากจำนรรจา เหมือนจากนางสะการะวาตี”