พระราหู

4 คาถาบูชาพระราหู ตำนานเรียกทรัพย์วัดศรีษะทองไม่มีใครพูด?

คาถาบูชาพระราหู

คาถาบูชาพระราหู วัดศรีษะทอง

พิธีบูชาพระราหู ตามความเชื่อทางโหราศาสตร์ เมื่อผู้ใดประสบเคราะห์เกิดความไม่สบายใจต้องมาบูชาพระราหูเพื่อให้หายทุกข์โศก โดยจะมีคาถาบูชา พร้อมด้วยของดำ 8 อย่าง วัดที่รู้จักกันดีคือ วัดศีรษะทอง จังหวัดนครปฐม

ประวัติวัดศีรษะทอง

         สถานที่ตั้ง : อำเภอนครชัยศรี นครปฐม

         บรรยากาศ : วัดศรีษะทองสร้างจากการร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวลาวที่อพยพมาจากเวียงจันทน์ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ในขณะที่มีการขุดดินสำหรับสร้างวัด ได้พบเศียรพระทองจมอยู่ในดิน จึงถือเป็นนิมิตที่ดี เลยได้ตั้งชื่อวัดนี้ว่า วัดหัวทอง ตั้งแต่นั้นมา เจ้าอาวาสองค์แรกคือ หลวงพ่อไต เป็นชาวลาวที่มาจากเวียงจันทน์ จากวัดเล็กๆ กลายมาเป็นวัดใหญ่ สืบทอดเจ้าอาวาสมาอีก 6 รุ่น

จนมาถึง สมัยหลวงพ่อน้อย นาวารัตน์ ซึ่งได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่วัดและหมู่บ้านเป็นอย่างมาก ต่อมาทางการได้ขุดคลองเจดีย์บูชา แยกจากแม่น้ำนครชัยศรี ไปยังองค์พระปฐมเจดีย์เพื่อสะดวกในการเสด็จพระราชดำเนินไปนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ คลองนี้ผ่านพื้นที่ทางตอนใต้ของวัดหัวทองและหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงอพยพมาอยู่ใกล้คลองเพราะสะดวกในการคมนาคม วัดนี้จึงย้ายจากที่เดิมมาอยู่ใกล้คลองเจดีย์บูชาและเปลี่ยนชื่อเป็น วัดศีรษะทอง ต่อมาทางราชการได้ยกขึ้นเป็นตำบลศีรษะทองสืบมาจนถึงทุกวันนี้ ที่วัดศีรษะทองนี้มีประชาชนเป็นจำนวนมากที่นับถือ และนิยมมานมัสการพระราหู ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ ณ วัดศีรษะทองนี้ เพื่อความเป็นศิริมงคล

         จังหวัดนครปฐมเป็นวัดที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย เพราะในแต่ละวันจะมีประชาชนนิยมมาสักการบูชาพระราหูเพื่อความเป็นสิริมงคลที่วัดนี้เป็นจำนวนมาก  ด้วยคติความเชื่อที่ว่าพระราหูนั้นเป็นเทพซึ่งสามารถบันดาลประโยชน์ปละโทษให้เกิดขึ้นกับบุคคลหรือสิ่งต่างๆได้   ดังนั้นจึงเกิดพิธีกรรมในการบูชาพระราหูขึ้นเพื่อช่วยให้โชคร้ายอันอาจจะเกิดขึ้นนั้นบรรเทาลงหรือกลับแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ดีงามกับชีวิต

          ตามประวัติกล่าวว่าวัดศีรษะทอง  สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น  โดยมีการขุดพบเศียรพระทองในบริเวณที่มีการสร้างวัด  จึงเรียกวัดแห่งนี้ว่า “วัดหัวทอง” ต่อมาเมื่อทางการได้ขุดคลองเจดีย์บูชา  แยกจากแม่น้ำนครชัยศรีไปยังองค์พระปฐมเจดีย์  ผ่านพื้นที่ทางตอนใต้ของวัดหัวทอง และหมู่บ้านนั้น  ชาวบ้านได้ย้ายครัวเรือนมาอยู่ใกล้คลองมากขึ้น  เพื่อความสะดวกในการคมนาคม  วัดหัวทองก็ได้ย้ายจากที่เดิมมาอยู่ใกล้คลองเจดีย์บูชาด้วยและเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดศีรษะทอง” สืบมา

          วัดศีรษะทองได้พัฒนาและมีความรุ่งเรืองขึ้นเป็นอย่างมากในสมัยของหลวงพ่อน้อย  นาวารัตน์   อดีตเจ้าอาวาส  ท่านเป็นที่รู้จักเพราะเป็นต้นตำรับของการสร้างพระราหูอมจันทร์จากกะลาตาเดียว  เครื่องรางที่ได้รับความนิยมอย่างกว้าขวาง  และได้สร้างชื่อเสียงให้วัดศีรษะทองเป็นที่รู้จักมาจนถึงทุกวันนี้

           ตามตำนานกล่าวว่า  พระราหูนั้นมีลักษณะเป็นเช่นยักษ์ดุร้าย  มีฤทธิ์มาก  ผิวดำเหมือนิล  สถิตอยู่ในอากาศแวดล้อมด้วยม่านสีดำ  มีร่างกายเพียงครึ่งเดียวเพราะต้องจักรของพระนารายณ์  เนื่องจากในระหว่างที่ขโมยดื่มน้ำอมฤตอยู่นั้น พระอาทิตย์และพระจันทร์ได้มาเห็นเข้าจึงนำความไปทูลพระนารายณ์  ทำให้ทรงกริ้วและขว้างจักรไปบั่นกายพระราหูขาดครึ่ง  แต่พระราหูนั้นไม่สิ้นชีพเนื่องจากได้ดื่มน้ำอมฤตเข้าไปครึ่งตัวจึงเป็นอมตะ  จากนั้นพระราหูจึงมีความแค้นเคืองในพระอาทิตย์และพระจันทร์ที่นำเรื่องไปทูลพระนารายณ์  จึงคอยเฝ้าจับพระอาทิตย์ และพระจันทร์กินอยู่เสมอ  หรือที่เรียกกันว่า สุริยคราส และจันทรคราส  นั่นเอง  พระราหูจึงเปรียบเช่นความเป็นอมตะเพราะไม่มีวันตายนั่นเอง

        ปัจจุบันวัดศีรษะทองได้จัดสร้างพระราหูขนาดใหญ่ไว้ให้ประชาชนได้มาสักการบูชาตามความเชื่อ และความศรัทธาส่วนบุคคลแต่ผู้บูชาพระราหูจะต้องมีศีล มีธรรม ทำคุณความดี และหมั่นทำบุญกุศลอยู่เสมอ ความร่ำรวยและโชคลาภนั้นจึงจะเกิดขึ้นได้

ความเชื่อและวิธีการบูชา
         เชื่อกันว่าการกราบไว้ขอพรพระราหูนั้นเป็นการขอพรให้พ้นเคราะห์ต่างๆ และยังดลบันดาลให้เกิดโชคลาภ  ช่วยให้การงานเจริญก้าวหน้า  และเชื่อว่าพระราหูยังเป็นเทพบูชาประจำตัวเพื่อเสริมบารมีของคนที่เกิดวันพุธกลางคืนอีกด้วย  แม้การบูชาพระราหูจะสามารถทำได้ตลอดเวลา  แต่ส่วนใหญ่นิยมบูชากันในวันพุธตอนกลางคืนโดยบูชาด้วยธูปดำคนละ  8 ดอก  พร้อมทั้งถวายเครื่องบูชาซึ่งเป็นสีดำทั้งหมด 8 อย่าง แทนความหมายต่างกันได้แก่  ไก่ดำ เหล้า  กาแฟดำ  เฉาก๊วย  ถั่วดำ  ข้าวเหนียวดำ  ขนมเปียกปูน ไข่เยี่ยวม้า

คาถาบูชาพระราหู

            คาถาสุริยะบัพพา  สำหรับบูชากลางวัน

            กุสเสโตมะมะ  กุสเสโตโต   ลาลามะมะ  โตลาโม  โทลาโมมะมะ  โทลาโมมะมะ  โทลาโมตัง  เหกุติมะมะ เหกุติ

            คาถาจันทบัพพา สำหรับบูชากลางคืน

            ยัตถะตังมะมะ  ตังถะยะ  ตะวะตัง  มะมะตัง  วะติตัง  เสกามะมะ  กาเสกัง  กาติยังมะม  ยะติกา

วันและเวลาเปิด- ปิด

            สามารถไหว้พระราหูได้ทุกวัน (ยกเว้นวันพระ)

ที่มา:วัดศรีษะทอง

คาถาบูชาพระราหู วัดท่าไม้

คาถาบูชาพระราหู วัดท่าไม้

วิธีไหว้ราหูต้องทำอย่างไร มีของไหว้ราหูอะไรบ้าง พร้อมคาถาบูชาพระราหู สำหรับคนที่เตรียมตัวไหว้ราหู
ราหู เป็นดาวบาปเคราะห์ที่ปกติจะย้ายราศี 1 ครั้ง ในทุก ๆ 1 ปีครึ่ง ซึ่งครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2559 เป็นการย้ายจากราศีกันย์เข้าสู่ราศีสิงห์ ถึงแม้การไหว้ราหูจะเป็นที่นิยมกันมากในปัจจุบัน แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ทราบว่า การไหว้ราหูมีความเป็นมาอย่างไร รวมถึงมีความสำคัญในด้านใดบ้าง ดังนั้น ทีมงานกระปุกดอทคอม จึงได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตำนานพระราหู รวมถึงการเตรียมของไหว้ และการทำพิธีไหว้ สำหรับผู้ที่ต้องการบูชาพระราหูมาฝากกันดังนี้ค่ะ

ราหู คืออะไร
พระราหู หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เทพราหู เป็นเทวดานพเคราะห์องค์หนึ่งในคติไทย ซึ่งมีความเชื่อกันว่าสามารถบันดาลประโยชน์และโทษให้เกิดขึ้นกับบุคคล หรือสิ่งต่าง ๆ ได้ ดังนั้น เพื่อให้สิ่งเลวร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นบรรเทาเบาบางลง และแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ดี ให้เกิดความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีโชคมีลาภ เจริญก้าวหน้าร่ำรวยยิ่งขึ้น จึงได้มีการบูชาพระราหูเกิดขึ้น โดยบางครั้งอาจเรียกสั้น ๆ ว่า การไหว้ราหู นั่นเอง

คาถาบูชาพระราหู วัดท่าไม้

ตำนานเกี่ยวกับพระราหู
เนื่องจากตำนานเกี่ยวกับพระราหูทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องเล่าที่สืบทอดมาตั้งแต่ครั้งอดีตกาล ดังนั้นเนื้อเรื่องจึงความหลากหลายแตกต่างกันไป โดยตัวอย่างตำนานของพระราหูที่พอจะเป็นที่รู้จักกันบ้าง มีดังนี้

1.ตำนานพระอิศวรสร้างพระราหู
ในตำนานแรกนั้นจะแสดงถึงตำนานทางคติพราหมณ์ ในตำราไสยศาสตร์ หรือศิวะศาสตร์ของพราหมณ์นั้นแสดงไว้ถึงการกำเนิดเทพยดานพเคราะห์ทั้ง 9 พระองค์ไว้ ดังนี้ พระอิศวรทางเป็นผู้สร้างเทพยดานพเคราะห์ทั้ง 9 พระองค์ ด้วยพระองค์เอง ดังนั้นเทพยดานพเคราะห์ทั้ง 9 จึงล้วนมีฤทธิ์มีศักดานุภาพมากนัก
ในเทพยดานพเคราะห์ทั้ง 9 นี้ มีองค์หนึ่งทรงเป็นเทพอสูร ที่มีฤทธิ์เดชร้ายกาจมาก อานุภาพเป็นที่ยำเกรงของทวยเทพเทวาทั้งหลาย ซึ่งเทพองค์นั้นคือ พระราหูจอมอสุรินทร์ ซึ่งพระอิศวรได้นำหัวผีโขมด จำนวน 12 หัวมาป่นให้เป็นเถ้าธุลี จากนั้นห่อด้วยผ้าสีดำ เสกเป่าแล้วพรมลงด้วยน้ำอมฤต บัดดลบังเกิดขึ้นเป็นอสูรเทพซึ่งมีรูปร่างใหญ่โต ครึ่งบนเป็นเทพอสูร ครึ่งล่างเป็นงู โดยมีนามว่า พระราหู ทั้งนี้ พระราหูทรงเดชานุภาพครอบงำได้ทั้งสามโลก จึงเป็นที่เกรงกลัวต่อพระสุริยเทพ พระจันทราเทพ นับเป็นเทพนพเคราะห์อันดับที่ 8 ที่มีกำลังนพเคราะห์เป็น 12 โดยเป็นเทพแห่งวันพุธกลางคืน

นอกจากนี้ยังกล่าวกันว่า อิทธิฤทธิ์ของอสูรเทพราหูนั้นพิสดารอย่างยิ่ง เมื่อแรกกำเนิดนั้นมีร่างกายครึ่งบนเป็นยักษ์ ครึ่งล่างเป็นพญานาค มีร่างกายสีทองอมดำสัมฤทธิ์ ทรงครุฑเป็นพาหนะ บ้างว่าทรงเมฆหมอก แสดงเห็นว่าพระราหูนั้นเป็นควบคุมธาตุน้ำ และธาตุลม บ้างก็ว่าพระราหูทรงพาหนะเป็นยักษ์ ทางโหราศาสตร์ถือว่ามีพระราหูมีพระเสาร์เป็นเพื่อนสนิท เมื่อพระราหูกำเนิดมาแล้วยังมีเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย

โดยเรื่องเล่าในกาลต่อมา คือ พระราหูได้แอบขโมยน้ำอมกฤตเพื่อดื่มกินให้ตนเองเป็นอมตะ มีอำนาจเหนือเทพยดาทั้งหลาย แต่พระอาทิตย์และพระจันทร์ แอบรู้เห็นการกระทำของพระราหูเข้า จึงทูลต่อพระนารายณ์ เมื่อพระนารายณ์ทรงทราบว่าพระราหูอาจเป็นภัยต่อทั้งสามโลกจึงกริ้ว และขว้างจักรเข้าตัดกลางกายของพระราหู แต่ดีที่ว่าพระราหูนั้นได้ดื่มกินน้ำอมกฤตเข้าไปแล้วจึงไม่สิ้นใจ และแม้จะมีครึ่งกายพระราหูก็ยังมีอำนาจท่องเที่ยวไปในที่ต่าง ๆ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นท่อนล่างมีลักษณะเป็นงูนั้น ได้กลายเป็นเทพยดาขึ้นใหม่อีกพระองค์หนึ่ง นามว่าพระเกตุ โดยทรงมีฤทธิ์เดชไม่แพ้กัน ถือว่าพระเกตุนี้เป็นเทพคุ้มครองดวงชะตา ใครมีพระเดชกุมลักษณ์ คนนั้นมักปลอดภัยจากภยันอันตรายทั้งหลายทั้งปวง

ส่วนพระราหูซึ่งแค้นใจที่พระอาทิตย์และพระจันทร์แอบนำเรื่องที่ตนดื่มกินน้ำอมฤต ไปทูลฟ้องพระนารายณ์ เมื่อสบโอกาสเหมาะเมื่อใด พระราหูจึงเข้าจับพระอาทิตย์พระจันทร์มากลืนกินทุกครั้ง แต่เมื่อได้ยินเสียงตีเกราะเคาะไม้ก็คายพระอาทิตย์ และพระจันทร์ออกมา การกลืนพระอาทิตย์พระราหู ได้เรียกว่า สุริยคราส ขณะที่การกลืนพระจันทร์ เรียกว่า จันทรคราส นั่นคือเรื่องเล่าของปรากฏการณ์อันน่าตื่นเต้นทางดาราศาสตร์ทุกวันนี้

2. ตำนานพระราหูในพระพุทธศาสนา
ในวรรณคดีทางพระพุทธศาสนาได้เล่าเรื่อง พระราหู พระอาทิตย์ และพระจันทร์ เกี่ยวกับบุพพกรรมที่ทั้งสามได้เคยสร้างร่วมกันมาว่า ทั้งสามคือ พระอาทิตย์ พระจันทร์ และพระราหูเกิดเป็นพี่น้องกัน มีพระอาทิตย์เป็นพี่คนโต พระจันทร์เป็นคนรอง พระราหูเป็นน้องเล็ก พระอาทิตย์ และพระจันทร์นั้นนิสัยดีชอบทำบุญใส่บาตร เลือกเอาของดีถวายพระภิกษุสงฆ์เสมอ ๆ แต่พระราหู มีนิสัยเกเร เจ้าโทสะ ไม่ค่อยประดิษฐ์ประดอยเหมือนพี่ ๆ ครั้งหนึ่งพระอาทิตย์ชวนน้องทั้งสองใส่บาตร พระอาทิตย์เลือกใช้ขันทอง พระจันทร์เลือกใช้ขันเงิน แต่พระราหูนั้นเลือกเอากะลาเป็นขันใส่ข้าว รวมทั้งทัพพีตักข้าว

ในกาลต่อมา พระอาทิตย์ตั้งจิตอธิษฐานให้ตนเองเกิดเป็นสุริยเทพผู้มีรัศมีสองแสงเป็นสีทองส่องสว่างแก่มนุษย์ยามกลางวัน พระจันทร์ตั้งจิตขอไปเกิดเป็นจันทราเทพผู้มีรัศมีเย็นตา ให้ความสว่างแก่มนุษย์ยามกลางคืน ส่วนพระราหูนั้นต้องการมีเดชอำนาจเหนือพี่ทั้งสอง

ด้วยอำนาจจิตดังกล่าวเมื่อสิ้นใจไปแล้วทำให้เกิดเป็นเทพอสูรนามว่า พระราหู ที่มีร่างกายดำทะมึนมีอำนาจสามารถดับความสว่างของพระอาทิตย์และพระจันทร์ได้ เมื่อใดที่พระราหูเจอพระอาทิตย์ และพระจันทร์ จึงเป็นต้องเข้าไปอมบ้าง ไปหนีบไว้ที่รักแร้บ้าง ซ่อนไว้ใต้คางบ้างเป็นเช่นนี้เสมอไป และลักษณะการบดบังพระอาทิตย์ และพระจันทร์ดังกล่าวนี้ ครูบาอาจารย์ชั้นต่อ ๆ มาจึงนำมาวาดเป็นยันต์พระราหู หรือมาแกะลายพระราหูบังพระอาทิตย์ แต่ส่วนมากมักเลือกเอากิริยาที่พระราหูอมพระอาทิตย์พระจันทร์มากที่สุด
พระราหู

3.ตำนานพระพุทธรูปปางโปรดอสุรินทร์ราหู
มีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น พระราหูได้เคยเข้าจับพระอาทิตย์มากลืนกิน บังเกิดเป็นสุริยคราส ครั้งนั้นเทพยดาทั้งหลายได้ทูลขอให้พระพุทธเจ้าเข้าช่วยเหลือ จึงทรงกล่าวพระพุทธคาถาแก่พระราหู เมื่อพระราหูได้ฟังแล้ว ก็บังเกิดอาการขนพองสยองเกล้ารีบคายพระอาทิตย์ออก ก่อนหนีกลับเข้าเมืองอสูร เพราะรู้สึกราวกับว่าศีรษะจะระเบิดออกมาเป็นเจ็ดเสี่ยง จากนั้นพระราหูได้ไปเล่าให้เพื่อนอสูรฟังว่าพระพุทธเจ้ามีฤทธิ์มาก และไม่อาจต้านทานฤทธานุภาพพระพุทธองค์ได้

ในพระไตรปิฏกยังเล่าอีกว่า พระราหูเคยคิดเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่คิดในใจว่าตนเองนั้นร่างกายใหญ่โต ไฉนเลยจะเข้าไปกราบพระพุทธองค์ได้ ด้านพระพุทธเจ้าที่สามารถรู้ถึงความคิดของพระราหูได้ จึงเนรมิตร่างกายตนให้ใหญ่กว่าพระราหูหลายร้อยหลายพันเท่า และประทับอยู่ในกิริยานอนประทับปางไสยยาสน์ เมื่อราหูมาถึงที่ประทับยังนึกในใจอยู่ว่าพระองค์คงร่างเล็กนิดเดียว ก้มลงมองหาเท่าไรก็ไม่พบ จนท้อใจคิดจะกลับเมือง แต่เมื่อได้ยินเสียงพระพุทธเจ้าตรัสทัก และพอมองขึ้นไปจึงพบว่าร่างกายของพระพุทธเจ้าใหญ่โตยิ่งกว่าตนมากมายนัก พระราหูจึงเกิดความเกรงในพระพุทธบารมี และเชื่อมั่นในพระพุทธคุณของพระพุทธองค์ จึงขอเอาพระไตรสรณคมณ์เป็นที่พึ่ง และถือว่าพระรูปปางสีหไสยยาสน์นั้นเป็นปางปราบอสุรินทร์ราหู ทำให้ผู้ที่มีราหูเข้าแทรกในดวง หากได้บูชาพระพุทธรูปปางนึ้จะดีกับตนเองยิ่งขึ้น

ในครั้งนั้นพระพุทธองค์ยังได้กล่าวถึงบุพกรรมแต่หนหลังของพระราหูว่า พระราหูเคยตั้งปณิธานไว้ว่า จะเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งการบำเพ็ญบารมีของพระราหูทุกภพชาติที่ผ่านมานั้น พระพุทธเจ้ามองว่าจะสำเร็จแน่นอนในอนาคตกาล โดยอาจเป็นพระโพธิญาณ หรือบรรลุเป็นอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทำให้พระราหูปลาบปลื้ม และมีความเลื่อมใสในพระพุทธองค์ จนตั้งใจบำเพ็ญเพียรทางพระโพธิญาณให้มากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ในพระไตรปิฎยังกล่าวอีกว่า พระราหูจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้านาม “พระนารทพุทธเจ้า” นับเป็นองค์ที่ห้าถัดจากพระศรีอารยเมตไตรพุทธเจ้า จากคติดังกล่าวนี้จึงถือว่าพระราหูนั้นมีฐานะเป็นพระโพธิสัตว์ และเป็นหน่อเนื้อพระพุทธางกูรแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นที่น่าเคารพกราบไหว้ของชาวพุทธ ซึ่งการกราบไหว้พระโพธิสัตว์เป็นคตินิยมของมหายาน แต่ฝ่ายหินยานหรือในบ้านเรานั้นรู้จักเรื่องพระโพธิสัตว์น้อย

และพระโพธิสัตว์ บางครั้งมีรูปกายสวยงาม บางครั้งก็มีรูปกายน่ากลัว และสามารถบังเกิดในภพภูมิใดก็ได้ อย่างพระราหูเป็นพระโพธิสัตว์ที่รูปกายน่ากลัว และเป็นพระโพธิสัตว์ที่เกิดขึ้นในแดนอสูร ทำหน้าที่ดูแลพระพุทธศาสนา ให้พรคนดี ย่ำยีคนชั่ว บำเพ็ญบารมีสร้างภพชาติเพื่อสืบพระพุทธวงศ์มิให้สิ้นสูญ โปรดสรรพสัตว์ให้พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด อันเป็นมหาบารมีมหาปณิธานอันยิ่งใหญ่ ดังนั้นจึงสมควรที่จะได้รับการกราบไหว้บูชาเช่นเทพเจ้าองค์อื่น ๆ

4. ตำนานพระโพธิสัตว์ราหูเทพอสุรินทร์
ในบรรดาเทพนพเคราะห์ทั้ง 9 องค์นั้นมีเพียงพระราหูพระองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นพระโพธิสัตว์และได้รับการพยากรณ์แล้ว แม้พระอาทิตย์และพระจันทร์ผู้มีบุญญาธิการอันสูงส่ง ก็มิได้เป็นพระบรมโพธิสัตว์ เช่น พระราหู ดังนั้น การนับถือพระราหูจึงไม่ใช่การบูชาภูตผีปีศาจ แต่เป็นการบูชาพระโพธิสัตว์ในรูปกายแห่งเทพอสูร อันเป็นคติสอนให้พิจารณาว่า อย่ามองที่รูปกายภายนอก แม้ว่ารูปกายแห่งพระราหูจะดูดุดันน่ากลัว แต่คุณธรรมภายในนั้นกลับตรงข้าม พระราหูเป็นเทพอสูรที่บำเพ็ญบารมีเพื่อบรรลุพระโพธิญาณมานับชาติไม่ถ้วน ภายในจิตใจนั้นมีแต่ความปรารถนาดีต่อมวลมนุษย์ สิ่งเลวร้ายในชีวิตมนุษย์นั้นไซร์ย่อมเกิดจากผลกรรมเก่าและใหม่ที่ตนก่อไว้ เมื่อถึงเวลา กรรมนั้นย่อมเป็นไปตามกลไกของมัน พระราหูเทพอสุรินทร์เป็นเทพยเจ้าผู้เป็นพยานแห่งการกระทำกรรมของมนุษย์ หาได้ให้ร้ายใคร

ส่วนเรื่องอิทธิฤทธิ์ของพระราหูนี้มีมากนัก แม้ว่าต่อมาจะเหลือร่างกายเพียงครึ่งเดียวแต่ก็ทรงตบะเดชะไม่เป็นสองรองใคร ซ้ำยังสามารถเข้าบดบังพระอาทิตย์และพระจันทร์ได้ ซึ่งอำนาจในการบดบังพระอาทิตย์นี้ ครูบาอาจารย์บางท่านได้กล่าวสรรเสริญไว้ว่า แม้ดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรงก็ยังมีพระราหูมาบดบังให้เยือกเย็น ท่านจึงว่าพระราหูนั้นมีคุณในการดับร้อนให้เป็นเย็น หรือมีอำนาจในการบังตาเป็นที่น่าอัศจรรย์

ในการอธิษฐานขอบารมีพระราหูที่ถูกต้องนั้นให้อธิษฐานอ้างเอาคุณพระศรีรัตนตรัยขึ้นก่อน จากนั้นอธิษฐานถึงพระราหูว่า ขออำนาจบารมีพระอสุรเทพบรมโพธิสัตว์เสด็จพ่อพระราหู จงมาโปรดแก่ลูกด้วยแล้วทำการอธิษฐาน ทั้งนี้เพราะพระราหูนั้นมีเพศเป็นยักษ์และอยู่ในระดับอสูรเทพ และยังมีบารมีธรรมเป็นพระโพธิสัตว์ที่ได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่าจะต้องสำเร็จมรรคผลโพธิญาณอย่างแน่แท้ พระโพธิสัตว์ที่ได้รับการพยากรณ์เช่นนี้จากพระพุทธเจ้าถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้ บำเพ็ญบารมีถึงเส้นชัยแล้วจึงได้รับการขนานพระนามเป็นเกียรติว่า “พระบรมโพธิสัตว์” การอธิษฐานอ้างถึงคุณงามความดีของพระราหูดังกล่าว จึงถือเป็นอาราธนาคุณของพระราหูทั้งด้านบุญฤทธิ์ และอิทธฤทธิ์ พร้อมกันในตัว เป็นสิริมงคลแก่ผู้ระลึกถึงเป็นอย่างมาก

ราหูย้ายรา
อย่างที่บอกไปข้างต้นแล้วว่า ราหูจะย้ายราศีทุก ๆ 1 ปีครึ่งงก็เวียนมาบรรจบครบรอ เป็นการยจากราศีกันยนักพยากรณ์และหมอดูทั้งหลายได้แนะทำพิธีไหว้ราหู เพื่อป้องกันและปัดเป่าสิ่งเลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตตามความเชื่อ

ราหูย้าย 2557 หมอช้าง แนะ 4 ราศีไหว้ราหู 30 มิ.ย.57
ราหูย้าย 2557 หมอช้าง แนะ 4 ราศีไหว้ราหู 30 มิ.ย.57

ไหว้พระราหู ต้องเตรียมของไหว้ราหูอะไรบ้าง
เนื่องจากดาวราหูมีเลข 8 เป็นสัญลักษณ์ และมีกำลังเท่ากับ 12 ดังนั้นสามารถจัดของไหว้ราหู 8 หรือ 12 อย่างก็ได้ แล้วแต่ศรัทธา แต่ของไหว้ต้องประกอบด้วย ของคาว ของหวาน หรือผลไม้ และเครื่องดื่ม โดยของดำ 8 อย่างที่นิยมนำมาบูชา เนื่องจากมีความหมายดี ได้แก่

  1. ไก่ดำ หมายถึง การทำมาหากินที่ดี ไม่อดไม่อยาก
  2. เหล้าดำ หมายถึง การลงทุนทำอะไรจะได้กำไรกลับมา
  3. กาแฟดำ หมายถึง การคิดอะไร ก็จะสมหวัง
  4. เฉาก๊วย หมายถึง ความใจเย็น มีความคิดรอบคอบ
  5. ถั่วดำ หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง
  6. ข้าวเหนียวดำ หมายถึง ความเหนียวแน่นทางการเงิน
  7. ขนมเปียกปูน หมายถึง การปูนบำเหน็จรางวัล
  8. ไข่เยี่ยวม้า หมายถึง การติดต่อสิ่งใด ก็จะสำเร็จดังที่ตั้งใจไว้

สำหรับการเตรียมของไหว้สีดำนั้น ในบางตำราอาจไม่ได้ระบุว่า ต้องเป็นของไหว้ชนิดใดอย่างชัดเจน เนื่องจากในแต่ละพื้นที่อาจจะไม่สามารถหาของได้เหมือนกัน หรือบางท่านที่หาของตามนี้ไม่ได้ ก็อาจเปลี่ยนเป็นของดำอย่างอื่น เช่น องุ่นดำ งาดำ น้ำอัดลมสีดำ ทั้งนี้ของดำทั้ง 8 อย่างต้องพร้อมรับประทาน หรือดื่มได้ และต้องอย่าลืมเตรียมน้ำเปล่าอีก 1 แก้ว ตั้งไว้บนโต๊ะบูชาด้วย แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำพิธีกราบไหว้บูชา คือ จำนวนธูปที่ต้องใช้ตามจำนวนของที่ไหว้ เช่น ถ้าไหว้ 8 อย่างก็ใช้ธูป 8 ดอก เป็นต้น

ไหว้พระราหู มีวิธีไหว้อย่างไร
เมื่อได้ของดำ 8 อย่างมาแล้ว ให้เลือกทำพิธีกลางแจ้ง โดยใช้โต๊ะวางเพื่อตั้งสิ่งของบูชาที่กลางสนาม ที่ดาดฟ้าก็ หรือที่ระเบียงที่มีลมพัดผ่าน ส่วนการตั้งโต๊ะบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และเริ่มไหว้ในคืนวันพุธ ในช่วงเวลาระหว่าง 18.00-24.00 น. จากนั้นจุดธูปเทียนให้พร้อมแล้วเริ่มด้วยบทสวดพระราหู ดังนี้

คาถาบูชาพระราหู
(ตั้งนะโม 3 จบ)

บทสวดบูชาพระราหู
กินนุ สันตะระมาโน วะราหุ สุริยัง ปะมุญจะสิ
สังวิคคะรูโป อาคัมมะกินนุ ภีโต วะ ติฏฐะสีติ
สัตตะธา เม ผะเล มุทธา ชีวันโต นะ สุขัง ละเภ
พุทธะคาถาภิคีโตมหิ โน เจ มุญเจยยะ สุริยันติ
กินนุ สันตะระมาโน วะราหุ จันทัง ปะมุญจะสิ
สังวิคคะรูโป อาคัมมะ กินนุ ภีโต วะ ติฏฐะสีติ
สัตตะธา เม ผะเล มุทธา ชีวันโต นะ สุขัง ละเภ
พุทธะคาถาภิคีโตมหิ โน เจ มุญเจยยะ จันทิมันติ
พระคาถาสุริยะบัพพา
กุสเสโตมะมะ กุสเสโตโต ลาลามะมะ
โตลาโม โทลาโมมะมะ โทลาโมมะมะ
โทลาโมตัง เหกุติมะมะ เหกุติฯ
พระคาถาจันทบัพพา
ยัตถะตังมะมะ ตังถะยะ ตะวะตัง
มะมะตัง วะติตัง เสกามะมะ
เสตัง กาติยังมะมะ ยะติกาฯ
กล่าวคำถวายเครื่องสังเวย
คำถวายเครื่องสังเวยพระราหู
นะโมเม พระราหูเทวานัง ธูปะทีปะ
จะปุปผัง สักการะวันทะนัง สูปะพะยัญชะนะ
สัมปันนัง โภชะ นานัง
สาลีนัง สะปะริวารัง อุทะกังวะรัง
อาคัจฉันตุ ปะริภุญชันตุ สัพพะทา
หิตายะ สุขายะ พระราหูเทวา
มะหิทธิกา เตปิ อัมเห
อะนุรัก ขันตุ อาโรคะ
เยนะ สุเขมะจะฯ
คาถาบูชาพระราหู (สวด 12 จบ)
คะ พุท ปัน ทู ธัม วะ คะ

ข้าพเจ้า (ชื่อ-นามสกุล) ขอบูชาพระราหูด้วยของดำ (8 หรือ 12) อย่าง ขอให้อิทธิพลของดาวราหูจงส่งผลดีแก่ดวงชะตาของข้าพเจ้า ขอให้ได้พบเจอแต่กัลยาณมิตรที่ดี ขอให้มีสุขภาพที่แข็งแรงปราศจากโรคร้ายใด ๆ ขอให้เกิดความสุขในครอบครัว ขอให้ดาวราหูประทานพรโชคลาภและความสำเร็จแก่ข้าพเจ้า (อธิฐานเรื่องอื่น ๆ ที่ปรารถนา)

เมื่อธูปใกล้หมดควรลาของไหว้แล้วนำมารับประทานเพื่อความเป็นสิริมงคล และก่อนทานของไหว้ควรท่องคาถา “คะ พุท ปัน ทู ธัม วะ คะ” ก่อนที่จะทานของไหว้แต่ละอย่าง

สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อ และความเป็นมาในการทำพิธีไหว้ราหูที่นำเสนอในครั้งนี้ ก็เพื่อให้ทุกคนได้ได้เตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโชคชะตาที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งการทำพีธีดังกล่าวเป็นเรื่องของความเชื่อที่อาจกล่าวได้ว่า การไหว้ราหู นอกจากจะช่วยให้เรามีขวัญและกำลังใจที่ดีขึ้นแล้ว การยึดมั่นในศีลธรรมอันดี อาจช่วยให้ผู้ศรัทธาเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่ดีขึ้น แต่การกราบไหว้บูชาก็ควรทำอย่างมีสติ และตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เพราะหากขาดความยั้งคิดแล้ว เมื่อเกิดเหตุการณ์ใด ๆ ขึ้นมา ผู้นั้นก็อาจจะพลาดพลั้ง จนกระทั่งแนะนำไปสู่เหตุการณ์ที่เลวร้ายได้

ที่มา:วัดท่าไม้ จังหวัดสมุทรสาคร

อ่านบทความทั้งหมด >>> pangpond.com