ปก payment technology

5 Payment Technology รูปแบบธุรกรรมการเงินดิจิทัล?

รูปแบบของธุรกรรมการเงินดิจิทัลแบบ payment technology

ธุรกรรมการเงินดิจิทัลแบบ banking technology มีรูปแบบหลากหลายขึ้นอยู่กับแต่ละระบบ แต่ละธนาคาร และแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม นี่คือรูปแบบธุรกรรมการเงินดิจิทัลที่พบบ่อยที่สุด

รูปแบบธุรกรรมการเงิน ดิจิทัลที่พบบ่อย

  1. การโอนเงินผ่านอินเทอร์เน็ต (Online Fund Transfer): ผู้ใช้สามารถโอนเงินระหว่างบัญชีของตนเองหรือสู่บัญชีของบุคคลอื่นผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยใช้ระบบการชำระเงินออนไลน์ เช่น การโอนผ่านธนาคารออนไลน์หรือพอร์ทัลการเงินของธนาคาร

  2. การชำระเงินผ่านมือถือ (Mobile Payments): ผู้ใช้สามารถทำธุรกรรมการชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือได้ เช่น การใช้แอปพลิเคชันของธนาคารหรือแพลตฟอร์มชำระเงินบนมือถือ

  3. การใช้บัตรเครดิตและบัตรเดบิต (Credit and Debit Card Transactions): การใช้บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตในการชำระเงินในร้านค้าหรือออนไลน์ ผู้ใช้สามารถทำธุรกรรมนี้ได้ทั้งในรูปแบบที่ต้องส่งบัตรไปยังเคาน์เตอร์หรือโดยการใช้ทางเทคโนโลยีการชำระเงินแบบไร้สัมผัส เช่น การใช้ Apple Pay, Google Pay, Samsung Pay หรือการสแกน QR Code

  4. การใช้พอร์ทัลการเงินออนไลน์ (Online Banking Portals): ผู้ใช้สามารถทำธุรกรรมการเงินต่าง ๆ ผ่านทางพอร์ทัลออนไลน์ของธนาคาร ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบยอดเงินในบัญชี การโอนเงินระหว่างบัญชี การจัดการสินทรัพย์ เปิดบัญชีใหม่ และการค้นหาประวัติธุรกรรม

  5. การใช้บริการธนาคารออนไลน์ (Online Banking Services): ผู้ใช้สามารถทำธุรกรรมการเงินต่าง ๆ ผ่านทางบริการธนาคารออนไลน์ที่มีให้ เช่น การขอสินเชื่อออนไลน์ การจัดการเงินกู้ การลงทุน หรือการสั่งซื้อหุ้นออนไลน์

  6. การใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Technology): บล็อกเชนถูกใช้ในบางระบบการเงินดิจิทัล เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความโปร่งใส และลดการติดต่อกับบุคคลที่สาม ตัวอย่างเช่น การโอนเงินและการยืนยันเอกสารต่าง ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้

รูปแบบเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็ก ๆ ของธุรกรรมการเงินดิจิทัลที่สามารถพบได้ในวงกว้าง โดยยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การดำเนินธุรกรรมทางการเงินเป็นไปอย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และสะดวกสบายขึ้นสำหรับผู้ใช้งาน

ประเภทของ Fintech กลุ่มธุรกรรมที่เกี่ยวกับการลงทุน ได้แก่

Fintech (Financial Technology) เป็นคำย่อที่ใช้ในการอธิบายเทคโนโลยีทางการเงินที่ใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงบริการทางการเงิน ซึ่งรวมถึงกลุ่มธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน นี่คือบางประเภทของธุรกรรม fintech ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน

6 ประเภทของธุรกรรม fintech

  1. Robo-Advisors: เป็นแพลตฟอร์มการลงทุนที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อให้คำแนะนำในการลงทุนแก่ลูกค้า โดยอัลกอริทึมจะวิเคราะห์โดยอิงตามโปรไฟล์การลงทุนและเป้าหมายการลงทุนของลูกค้า

  2. P2P Lending: เป็นรูปแบบการให้กู้ยืมเงินระหว่างบุคคลที่สนใจลงทุนกับบุคคลหรือกลุ่มที่ต้องการขอสินเชื่อ แพลตฟอร์ม fintech ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการจับคู่ผู้ให้กู้และผู้กู้เงิน

  3. Crowdfunding: เป็นรูปแบบการระดมทุนที่ใช้เทคโนโลยี fintech เพื่อรวมเงินจากบุคคลที่สนใจลงทุนให้กับโครงการหรือธุรกิจที่ต้องการทุนเพื่อเริ่มต้นหรือขยายกิจการ

  4. Automated Trading: เป็นระบบการซื้อขายหุ้นและสินทรัพย์อื่นๆ ที่ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อดำเนินการซื้อขายอัตโนมัติ โดยอัลกอริทึมจะวิเคราะห์ข้อมูลตลาดและตัดสินใจเกี่ยวกับการซื้อขายเพื่อทำกำไร

  5. Digital Wealth Management: เป็นแพลตฟอร์มการบริหารจัดการทรัพย์สินที่ใช้เทคโนโลยี fintech เพื่อช่วยในการวางแผนการเงินส่วนตัว การลงทุน และการบริหารจัดการกองทุนเพื่อสร้างสมดุลในการลงทุน

  6. Tokenization: เป็นกระบวนการแปลงสิทธิ์ทรัพย์สินที่มีค่าเป็นแทนสัญญาณดิจิทัล (token) ซึ่งสามารถซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนได้ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน ทำให้การลงทุนในสินทรัพย์สิ่งของแบบต่างๆ เช่นอสังหาริมทรัพย์หรือหุ้น เป็นไปได้และมีความสะดวกสบายขึ้น

นี่เป็นเพียงบางประเภทของธุรกรรม fintech ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ซึ่งยังมีอีกหลายรูปแบบและกลุ่มธุรกรรมในด้านการเงินอื่น ๆ อย่างเช่น การชำระเงินออนไลน์ การแลกเปลี่ยนเงินตราดิจิทัล การจัดการกองทุน และอื่น ๆ

วิวัฒนาการของธุรกรรมการเงินดิจิทัลยุค 3.0 คือ 

ธุรกรรมการเงินดิจิทัลยุค 3.0 เป็นแนวคิดที่อ้างถึงการพัฒนาและปรับปรุงธุรกรรมการเงินดิจิทัลในรูปแบบที่มีความสอดคล้องกับการใช้เทคโนโลยีรุ่นใหม่ เซ็นเตอร์ของยุค 3.0 อยู่ที่ความรู้สึกของผู้ใช้ว่าเข้าถึงและใช้บริการธุรกรรมการเงินในวิถีชีวิตปรกติ โดยไม่จำเป็นต้องไปหาบริการธนาคารทางด้านกลางหรือสถาบันการเงินตามแบบเดิมอย่างเคร่งครัด นี่คือคุณสมบัติและวิวัฒนาการของธุรกรรมการเงินดิจิทัลยุค 3.0

payment technology 01

  1. แพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อและรวมธนาคารและบริการทางการเงิน: ในยุค 3.0 เทคโนโลยีใหม่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มทางการเงินที่ให้บริการโดยหลายธนาคารและสถาบันการเงินพร้อมกัน ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงและจัดการกับบัญชีและบริการทางการเงินต่าง ๆ ได้ในที่เดียว

  2. การใช้ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์: การเก็บรวบรวมข้อมูลทางการเงินและการใช้ปัญญาประดิษฐ์มีบทบาทสำคัญในธุรกรรมการเงินดิจิทัลยุค 3.0 โดยปัญญาประดิษฐ์จะช่วยวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลเพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความหมายและแนวโน้มทางการเงินที่มีประโยชน์สำหรับผู้ใช้

  3. การใช้เทคโนโลยีสมาร์ทคอนแทร็คและอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT): เทคโนโลยีสมาร์ทคอนแทร็คและ IoT ช่วยให้ธุรกรรมการเงินดิจิทัลยุค 3.0 เป็นไปอย่างอัตโนมัติและสะดวกสบายยิ่งขึ้น เช่น การทำธุรกรรมการชำระเงินที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์สมาร์ท การตรวจสอบการทำธุรกรรมด้วยเทคโนโลยีเสียงหรือสแกนลายนิ้วมือ

  4. ความปลอดภัยและการรักษาความเป็นส่วนตัว: ในยุค 3.0 มีการใช้เทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยที่มีความทนทานมากขึ้น เช่น เทคโนโลยีบล็อกเชนที่ช่วยในการยืนยันและเข้าถึงข้อมูลทางการเงินได้อย่างปลอดภัย

  5. ธุรกรรมแบบตรง (Peer-to-Peer Transactions): ยุค 3.0 ส่งเสริมธุรกรรมการเงินแบบตรงระหว่างบุคคลโดยไม่ต้องผ่านสถาบันการเงินตัวกลาง ผู้ใช้สามารถทำธุรกรรมเงินสดหรือโอนเงินผ่านแอปพลิเคชันทางมือถือกับบุคคลอื่นได้โดยตรง

  6. การใช้ความร่วมมือระหว่างสถาบันการเงินและธุรกิจ fintech: ในยุค 3.0 มีการพบการร่วมมือระหว่างสถาบันการเงินและธุรกิจ fintech เพื่อพัฒนาและให้บริการธุรกรรมการเงินที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยทั้งสองฝ่ายจะนำเสนอความชำนาญและความสามารถทางเทคโนโลยีเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่เติบโตได้

ยุค 3.0 ของธุรกรรมการเงินดิจิทัลเน้นความสะดวกสบาย ความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัยในการดำเนินธุรกรรมทางการเงิน ด้วยการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ สมาร์ทคอนแทร็ค IoT และบล็อกเชน เพื่อสร้างประสบการณ์การเงินที่เป็นระเบียบ รวดเร็ว และปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับผู้ใช้งาน

Banking technology จุดประสงค์ของเทคโนโลยีทางการเงินคือข้อใด

จุดประสงค์ของเทคโนโลยีทางการเงิน (banking technology) คือการใช้เทคโนโลยีเพื่อประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกรรมทางการเงิน และการให้บริการทางการเงินให้กับลูกค้า ซึ่งจุดประสงค์หลักของเทคโนโลยีทางการเงินได้แก่

5 จุดประสงค์ของเทคโนโลยีทางการเงิน

  1. เพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า: เทคโนโลยีทางการเงินมีเป้าหมายที่จะทำให้การทำธุรกรรมทางการเงินเป็นไปอย่างรวดเร็ว สะดวก และอัตโนมัติ ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ตลอด 24 ชั่วโมงผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยไม่จำเป็นต้องเข้าสู่สถาบันการเงินแบบดั้งเดิม

  2. ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย: การใช้เทคโนโลยีทางการเงินช่วยลดเวลาที่ใช้ในการดำเนินธุรกรรมทางการเงิน เช่น การโอนเงิน ชำระเงิน หรือจัดการบัญชี ซึ่งลูกค้าสามารถทำได้โดยอัตโนมัติและรวดเร็ว นอกจากนี้ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่ลดลงเมื่อใช้บริการทางออนไลน์

  3. เพิ่มความปลอดภัย: เทคโนโลยีทางการเงินมุ่งเน้นในการรักษาความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงิน ผ่านระบบการรับรองตัวตนและการเข้ารหัสข้อมูล ซึ่งช่วยป้องกันการฉ้อโกงและการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่เหมาะสมจากบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาต

  4. สร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดียิ่งขึ้น: เทคโนโลยีทางการเงินช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของตนเอง ดูยอดเงินคงเหลือ ประวัติธุรกรรม และจัดการเงินในรูปแบบที่เหมาะสมตามความต้องการของตนเอง

  5. สนับสนุนนวัตกรรมใหม่ ๆ: เทคโนโลยีทางการเงินเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ในวงการการเงิน เช่น การใช้บล็อกเชนในการทำธุรกรรม การพัฒนาแอปพลิเคชันธนาคารออนไลน์ หรือการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการให้คำแนะนำทางการเงิน

จุดประสงค์ของเทคโนโลยีทางการเงินเน้นการปรับปรุงความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และประสิทธิภาพในการให้บริการทางการเงิน ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าและการเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในสังคมอุตสาหกรรม นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงวิธีการทำธุรกรรมทางการเงินให้เป็นไปในทิศทางที่ดียิ่งขึ้นสำหรับผู้ใช้งาน

บทบาทของ Fintech กับระบบการเงินของไทยในอนาคต

Fintech (Financial Technology) มีบทบาทที่สำคัญในระบบการเงินของไทยในอนาคต โดยมีผลกระทบต่อหลายด้าน นี่คือบทบาทที่ fintech สามารถมีกับระบบการเงินของไทยในอนาคต:

  1. การเพิ่มความสะดวกสบายในการทำธุรกรรมการเงิน: Fintech สามารถช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถทำธุรกรรมการเงินได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เช่น การโอนเงินผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ การชำระเงินออนไลน์ หรือการใช้บริการธนาคารออนไลน์ที่สะดวกและใช้ง่าย

  2. การสนับสนุนผู้ประกอบการ SME: Fintech สามารถช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMEs) ในไทย โดยการให้บริการทางการเงินออนไลน์ที่เหมาะสมสำหรับ SMEs เช่น การให้สินเชื่อออนไลน์ การเรียกเก็บเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือการใช้แพลตฟอร์มการเงินดิจิทัลสำหรับการบริหารจัดการทางการเงิน

  3. การส่งเสริมการอดทนต่อภัยคุกคามทางการเงิน: Fintech มีบทบาทในการส่งเสริมความแข็งแกร่งของระบบการเงินในการดับเพลิงและอดทนต่อภัยคุกคามทางการเงิน เช่น การใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความโปร่งใสในการทำธุรกรรมการเงิน การใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการตรวจสอบธุรกรรม หรือการป้องกันการฉ้อโกงในการชำระเงินออนไลน์

  4. การส่งเสริมการเข้าถึงการเงินสำหรับกลุ่มที่ยากไล่: Fintech สามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการเงินสำหรับกลุ่มที่ยากไล่ที่มีการเข้าถึงทางการเงินที่จำกัด เช่น กลุ่มประชากรชาวชนบทหรือกลุ่มผู้มีรายได้น้อย โดยการใช้เทคโนโลยีทางการเงินเช่น การใช้พร้อมเพย์หรือการทำธุรกรรมผ่านมือถือ

  5. การสร้างนวัตกรรมใหม่ในระบบการเงิน: Fintech เป็นตัวก้าวข้ามในการสนับสนุนการพัฒนาและนวัตกรรมในระบบการเงิน โดยเชื่อมโยงระบบการเงินดั้งเดิมกับเทคโนโลยีใหม่ เช่น การใช้บล็อกเชนในการทำธุรกรรม การใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์เครดิต หรือการพัฒนาแพลตฟอร์มการเงินดิจิทัลใหม่

payment technology 02

ดังนั้น บทบาทของ fintech ในระบบการเงินของไทยในอนาคตคือการเพิ่มความสะดวกสบายในการทำธุรกรรมการเงิน สนับสนุน SMEs สร้างความอดทนต่อภัยคุกคาม ส่งเสริมการเข้าถึงการเงินสำหรับกลุ่มที่ยากไล่ และสร้างนวัตกรรมใหม่ในระบบการเงิน

อ่านบทความทั้งหมด >>> pangpond.com