ประวัติกรีฑา ย่อ
เชื่อกันว่า ต้นกำเนิดของกรีฑานั้น เริ่มมากจากชาวกรีกโรมัน เมื่อประมาณ 776 ปีก่อนคริสตศักราช โดยเจ้าเมืองนั้นอยากให้พลเมืองของกรีกมีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง เพื่อรับใช้ประเทศได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ในสมัยก่อนเชื่อว่า มีเทพเจ้าสถิตอยู่บนเขาโอลิมปัสพยายามทำตัวให้เป็นที่โปรดปราน ด้วยการทำพิธีกรรมบวงสรวงต่าง ๆ พร้อมเล่นกีฬาถวาย ณ ลานเชิงเขาโอลิมปัสแคว้นอีลิส เพื่อให้เกียรติแก่เทพเจ้า โดยมีกีฬาที่ชาวกรีกเล่นนั้น มี 5 ประเภท คือ การวิ่งแข่ง การกระโดด มวยปล้ำ พุ่งแหลน ขว้างจักร ทั้งนี้ เป็นที่สังเกตได้ว่า นอกจากกีฬามวยปล้ำแล้ว กีฬาทั้ง 4 ชนิด ล้วนแต่เป็นกีฬากรีฑาทั้งสิ้น นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการแข่งขันติดต่อกันมาเป็นเวลานานกว่า 1,200 ปี เลยทีเดียว
ต่อมากรีกเสื่อมอำนาจลง และตกอยู่ภายใต้อำนาจของชาวโรมัน การกีฬาของกรีกเลยเสื่อมลงตามลำดับ ใน พ.ศ. 936 (ค.ศ. 393) เนื่องจากจักรพรรดิธีโอดซีอุส แห่งโรมัน มีคำสั่งให้ยกเลิกการเล่นกีฬา ทั้ง 5 ประเภท เพราะเห็นว่าประชาชนเล่นกีฬาเพื่อการพนัน ไม่ได้เล่นเพื่อสุขภาพแต่อย่างใด และนับตั้งแต่นั้นกีฬาโอลิมปิกก็ได้ยุติเป็นระยะเวลานานกว่า 15 ศตวรรษ
หลังจากนั้น ก็ได้มีบุคคลสำคัญ กลับมารื้อฟื้นให้กีฬาโอลิมปิกกลับมาเริ่มอีกครั้ง โดย บารอน ปีแอร์ เดอ คูแบร์แตง (BaronPierredeCoubertin) ชาวฝรั่งเศส ซึ่งเขาได้ชักชวนบุคคลคนสำคัญของชาติต่าง ๆ เข้ามาร่วมประชุม เพื่อแข่งขันกีฬาร่วมกัน โดยให้จัดการแข่งขัน 4 ปี ต่อ 1 ครั้ง พร้อมระบุข้อตกลงในการเล่นกีฬากรีฑาเป็นหลักของการแข่งขัน เพื่อเป็นเกียรติและอนุสรณ์แก่ชาวกรีกในสมัยโบราณ ผู้ริเริ่มกีฬาโอลิมปิก ทั้งนี้ กีฬาโอลิมปิกได้เริ่มแข่งขันขึ้นอีกครั้ง ใน พ.ศ.2439 (ค.ศ. 1896) ณ กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีก
กรีฑา
กรีฑา คือ ( athletics ) กีฬาประเภทหนึ่งแบ่งเป็นประเภทลู่และลาน ประเภทลู่ ได้แก่ วิ่งระยะทางต่าง ๆ ประเภทลาน ได้แก่ ขว้างจักร กระโดดสูง ทุ่มน้ำหนัก มีการแข่งขันขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อประมาณ 776ปี ก่อนคริสต์ศักราช โดยทำการแข่งขัน ณ ลาน เชิงเขาโอลิมปัส ในแคว้นอีลิส ประเทศกรีซ โดยเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในสมัยโบราณ เมื่อกรีกเสื่อมอำนาจลง โรมันได้เข้ามาปกครองกรีกและห้ามชาวกรีกแข่งขันกีฬา ทำให้การแข่งขันต้องล้มเลิกไปด้วย
ประวัติ กรีฑา ประเภท ลู่
การวิ่งระยะสั้น
วิ่งระยะสั้น คือ (Sprints) การวิ่งในทางวิ่งหรือลู่วิ่งที่เรียบ ซึ่งระยะทางวิ่งไม่เกิน 400 เมตร จากจุดเริ่มต้นจนถึงเส้นชัยสำหรับการแข่งขันกรีฑานักเรียนในประเทศไทย อาจมีการเพิ่มรายการวิ่งระยะทาง 60 เมตร และ 80 เมตรเข้าไปด้วย เพื่อให้นักกรี ฑาในรุ่นเล็กได้มีโอกาสร่วมแข่งขัน เนื่องจากการแข่งขันวิ่งระยะสั้นทุกประเภทมีความสำคัญ และให้ความตื่นเต้นสนุกสนานนอกจากนักกรี ฑาจะต้องมีความเร็วตามธรรมชาติเป็นทุนเดิมแล้ว การปฏิบัติให้ถูกต้องตามเทคนิคก็มีส่วนช่วยให้บรรลุผลตามความมุ่งหมายยิ่งขึ้น
- การวิ่งระยะสั้น
เทคนิคในการวิ่งระยะสั้น ความมุ่งหมายของการวิ่งระยะสั้น คือวิ่งให้เร็วที่สุดเพื่อให้ถึงเส้นชัยก่อนจึงได้มีการศึกษาค้นความว่าทำอย่างไรจึงจะวิ่งได้เร็วที่สุด ดังนั้นทักษะและเทคนิคจึงเป็นกุญแจไขปัญหาให้พบคำตอบที่ถูกต้อง และเชื่อว่ามีส่วนทำให้พบความสำเร็จได้ตามความสามารถของนักกรี ฑาแต่ละคน เทคนิคในการวิ่งระยะสั้นมีดังนี
- ท่าตั้งต้นก่อนออกวิ่ง การวิ่งระยะสั้นทุกประเภท การตั้งต้นก่อนออกวิ่งสำคัญที่สุด เพราะการแพ้หรือชนะอยู่ที่การเริ่มออกวิ่งว่าดีหรือไม่ ท่าตั้งต้นก่อนออกวิ่งที่ดี คือ ท่าที่สามารถช่วยให้ออกวิ่งได้เร็วที่สุด มีแรงส่งตัวไปข้างหน้ามากที่สุดและเสียเวลาน้อยที่สุด ท่าตั้งต้นก่อนออกวิ่งทั้งนักกรี ฑาและผู้เชี่ยวชาญได้คิดค้นทดลองใช้กันมีหลายแบบหลายวิธีปรากฎว่าวิธีตั้งต้นด้วยการย่อตัวลงนั่งให้มือทั้งสองยันพื้น เป็นวิธีที่ดีที่สุดเพื่อให้การออกวิ่งก้าวแรกมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น ในขณะที่ถีบตัวออก เท้าไม่เลื่อนถอยหลัง เพราะฉะนั้นควรมีที่ยันเท้า ที่ยันเท้าเริ่มวิ่ง (Starting block) ใช้สำหรับการแข่งขันวิ่งทุกประเภท ในระยะทางไม่เกิน 400 เมตร ( รวมทั้งวิ่งผลัดไม้แรก 4 x 400 เมตร ) แต่ต้องไม่ใช้กับการแข่งขันวิ่งประเภทอื่น เมื่ออยู่ในลู่วิ่งส่วนหนึ่งส่วนใดของที่ยันเท้าต้องไม่ล้ำเข้าไปในเส้นเริ่มหรือยื่นเข้าไปใน ช่องวิ่งอื่น ที่ยันเท้าต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
- ทำด้วยวัสดุที่แข็งแรง และไม่ก่อให้เกิดการได้เปรียบนักกีฬาคนอื่น
- ต้องยึดกับลู่วิ่งด้วยหมุดหรือตะปู ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ลู่วิ่งน้อยที่สุด รวมทั้งต้องง่ายในการติดตั้งและรวดเร็วต่อการเคลื่อนย้าย หรือถอดออก
การวิ่งระยะกลาง
การวิ่งระยะกลาง คือ (Middle distance) การวิ่งในระยะทาง 800 เมตร และ 1,500 เมตร การวิ่งระยะกลาง มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนมีพื้นฐานรู้ถึงวิธีการวิ่งที่ถูกต้องและมีทักษะในการวิ่งระยะกลางที่เหมาะสมกับสภาพทางด้านร่างกาย เพศ และวัย
- การวิ่งระยะกลาง
เทคนิคในการวิ่งระยะกลาง มีดังนี้
- ท่าตั้งต้นก่อนออกวิ่ง ท่าตั้งต้นก่อนออกวิ่ง ( สมมติว่าผู้วิ่งถนัดเท้าขวา) โดยทั่วไปนิยมยืนอยู่ในท่าเตรียมพร้อม คือ ยืนให้ปลายเท้าซ้ายจรดหลังเส้นเริ่ม เท้าขวาอยู่อยู่ข้างหลัง ห่างจากเท้าหน้าพอถนัด โน้มลำตัวไปข้างหน้า ยกมือขวาขึ้นระดับหน้าผาก มือซ้ายยกขึ้นระดับเอว งอศอกขึ้นข้างหลังเล็กน้อย ท่าตั้งต้นก่อนออกวิ่งอีกแบบหนึ่งอาจใช้ท่าตั้งต้นแบบวิ่งระยะสั้นก็ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ที่ยันเท้า จุดมุ่งหมายของการตั้งต้นก่อนออกวิ่งแบบนี้เพื่อต้องการเร่งฝีเท้าทำสถิติและเพื่อชิงวิ่งชิดขอบใน ขณะวิ่งเข้าลู่ทางโค้งไม่เสียเปรียบเรื่องระยะทาง
- ท่าทางในการวิ่ง มีลักษณะดังนี้
- มุมของลำตัว ลำตัวจะโน้มไปข้างหน้าเพียงเล็กน้อยประมาณ 85 องศาหรือเกือบตั้งตรง ศรีษะและคอเป็นเส้นตรงเดียวกับลำตัว ขณะวิ่งไม่ควรเกร็งส่วนใดของร่างกายเพียงแต่ประคองตัวให้นิ่งไหลส่ายเล็กน้อยไปตามแรงเหวี่ยง ของแขน จะสังเกตว่าลำตัวทำมุมกับพื้นมากกว่าการวิ่งระยะสั้น
- การก้าวเท้า ขณะก้าวเท้าไปข้างหน้าไม่ต้องยกเข่าสูงมาก ก้าวให้สม่ำเสมอปลายเท้าและเข่าทั้งคู่ขนานกันไปข้างหน้า ก้าวด้วยการเหวี่ยงเท้าในลักษณะสืบเท้าไปข้างหน้า ขาหลังเมื่อยกขึ้นจากพื้นแล้วจะเหวี่ยงขึ้นข้างหลังตามสบาย เพื่อผ่อนคล้ายกล้ามเนื้อการวิ่งระยะกลางนี้ จังหวะความเร็วของการก้าวเท้าจะช้ากว่าการวิ่งระยะสั้นความยาวของช่วงก้าวก็สั้นกว่าการวิ่งระยะสั้น ความสูงของเข่าที่ยกขึ้นจากพื้นจะน้อยกว่าการวิ่งระยะสั้น การออกแรงถีบเท้าสปริงขึ้นจากพื้นออกแรงน้อยกว่าการวิ่งระยะสั้น การวางเท้าลงสู่พื้นลงด้วยอุ้งเท้าส่วนการวิ่งระยะสั้นจะลงสู้พื้นด้วยปลายเท้า
- การแกว่งแขน แขนงอประมาณเกือบมุมฉาก กำมือหลวม ๆ แหว่งขึ้นลงระหว่างระดับลิ้นปี่กับสะโพก ขณะแกว่งแขนขึ้นข้างหน้าให้ตัดเฉียงเข้าหาลำตัวเล็กน้อย ไม่เกร็งส่วนใดของร่างกาย การแกว่งแขนของการวิ่งระยะกลางจะแกว่งเบาและแกว่งต่ำกว่าการวิ่งระยะสั้น
- การหายใจ การหายใจเข้าทางจมูกและออกทั้งทางจมูกและปาก ซึ่งแตกต่างกับการวิ่งระยะสั้น ซึ่งอาจกลั้นหายใจตลอดระยะทางที่วิ่งหรือหายใจเป็นช่วง ๆ
การวิ่งระยะไกล
การวิ่งระยะไกล คือ การแข่งขันวิ่งระยะทางตั้งแต่ 1,500 เมตรขึ้นไปคุณสมบัติของนักกีฬาวิ่งระยะไกลคือมีรูปร่างค่อนข้างสูงมีน้ำหนักปานกลางกล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงและมีจังหวะในการวิ่งที่ดีดังนั้นการฝึกหัดโดยทั่วไปก็เพื่อจะปรับปรุงในเรื่องจังหวะการก้าวขาและการแกว่งขามีการใช้กำลังให้น้อยที่สุด ทักษะการวิ่งระยะไกล เป็นการวิ่งระยะทางตั้งแต่ 1,500 เมตรขึ้นไป ลักษณะของนักกีฬาวิ่งระยะไกล มีรูปร่างค่อนข้างสูง น้ำหนักปานกลางกล้ามเนื้อหัวใจมีความแข็งแรง
สิ่งสำคัญในการวิ่งระยะไกลคือ จังหวะในการวิ่ง จังหวะในการก้าวขาและการแกว่งแขนที่จะใช้กำลังให้น้อยที่สุด การก้าววิ่งเต็มฝีเท้าช่วงก้าวยาวสม่ำเสมอรักษาช่วงก้าวให้เท้าสัมผัสพื้นในลักษณะลงด้วยปลายเท้าผ่อนลงสู่ส้นเท้าลำตัวตั้งมากกว่าการวิ่งระยะอื่น ไม่ปล่อยให้คู่แข่งวิ่งนำหน้ามากกว่า 25- 30 เมตร ในการวิ่ง 1,500 เมตร และไม่มากกว่า 40-50 เมตรในการวิ่ง 3,000 เมตร
- การวิ่งระยะไกล
ประวัติกรีฑา กติกา
การแข่งขันประเภทลู่ ประกอบไปด้วย
การแข่งขันวิ่ง
- ประเภทวิ่ง 100 เมตร, 200 เมตร, 400 เมตร, ข้ามรั้ว 100 เมตร, ข้ามรั้ว 110 เมตร
- ประเภทวิ่ง 400 เมตร, 800 เมตร, วิ่งผลัด 4×100 เมตร, วิ่งผลัด 4×400 เมตร
- ประเภท 1,500 เมตร
- ประเภท 3,000 เมตร, วิ่งวิบาก 3,000 เมตร
- ประเภท 5,000 เมตร
- ประเภท 10,000 เมตร
การแข่งขันวิ่งผลัด
- เขตรับส่งไม้คทามีระยะทาง 20 เมตร โดยถือไม้คทาเป็นเกณฑ์ไม่เกี่ยวกับขา แขน ลำตัวของนักกีฬา
- การแข่งขันวิ่งผลัด 4×200 เมตร นักกีฬาคนที่ 1 และ คนที่ 2จะต้องวิ่งช่องวิ่งของตนเองเท่านั้น คนที่ 3 จะวิ่งในช่องวิ่งของตนเองจนกระทั่งถึงเส้นตัด (เส้นโค้งแรกประมาณ 120 เมตร)
- การแข่งขันวิ่งผลัด 4×400 เมตร คนที่ 1 วิ่งในช่องวิ่งของตนเองเท่านั้น คนที่ 2 วิ่งในช่องวิ่งของตนเอง จนกระทั่งถึงเส้นตัด ซึ่งอยู่ในแนวเส้นชัย คนที่ 3 และ 4 จะยืนคอยรับในเขตรับระยะรวมเท่านั้น เมื่อนักกีฬาทีมใดวิ่งมาถึงจุด 200 เมตร ก่อน ทีมนั้นจะสามารถยืนคอยรับคทาจากด้านในของลู่วิ่งเรียงตามลำดับออกมา
- ถือไม้คทาด้วยมือตลอดการแข่งขัน หลังส่งไม้คทาแล้วควรอยู่ในช่องวิ่งของตนเอง หรือภายในเขตรับส่งจนกว่าทางวิ่งจะไม่มีนักกีฬา
- สามารถเปลี่ยนนักกีฬาได้ 2 คนจะต้องมีรายชื่อในการแข่งขันครั้งนั้น
- กรณีการแข่งขันวิ่งผลัด 4×100 เมตร, 4×400 ถ้ามีทีมแข่งขันไม่เกิน 5 ทีม ให้ไม้แรกวิ่งโค้งเดียว แล้วตัดเข้าช่องในได้
กติกา
การแข่งขันวิ่งข้ามรั้ว
นักกีฬาจะต้องวิ่งข้ามรั้วทั้งหมด 10 ครั้ง ตลอดระยะทางการแข่งขัน
สิ่งต้องห้าม : วิ่งข้ามรั้วเพียงขาข้างเดียว และห้ามใช้มือผลักดันรั้วหรือใช้ขาเจตนาถีบรั้วให้ล้ม
การแข่งขันประเภทลาน แบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้
- การแข่งขันประเภทกระโดด ได้แก่ กระโดดสูง, เขย่งก้าวกระโดด, กระโดดสูง, กระโดดค้ำถ่อ
- การแข่งขันประเภททุ่ม พุ่ง ขว้าง ได้แก่ ทุ่มน้ำหนัก, ขว้างจัก, ขว้างฆ้อน, พุ่งแหลน
การแข่งขันกระโดดไกล
การแข่งขัน นักกีฬากระโดดในขั้นที่ดีที่สุดของแต่ละคน จะถือเป็นสถิติ รวมทั้งตัดสินเสมอกันของอันดับที่ 1 ด้วย นักกีฬากระโดดลงในบ่ทรายแล้วต้องออกไปข้างหน้าหรือด้านข้างเท่านั้น
การแข่งขันเขย่งก้าวกระโดด
ประกอบด้วยเขย่ง การก้าว และการกระโดด การเขย่งจะต้องใช้เท้าเดียวกับที่เหยียบกระดานลงสู่พื้น จะต้องกระโดดด้วยเท้าข้างเดียว สามารถกระโดดได้ไม่เกิน 3 ครั้ง จะหมดสิทธิ์ในการแข่งขันความสูงต่อไป นักกีฬาที่ชนะเลิศสามารถเลือกความสูงได้ตามต้องการ
กรีฑามีกี่ประเภท
กีฬาชนิดนี้สามารถแบ่งประเภทขออกได้เป็น 5 ประเภท ดังนี้
- ประเภทลู่ ( Track Events )
- ประเภทลาน ( Field Events )
- ประเภทเดิน ( Walking Events )
- ประเภทถนน ( Road Races )
- ประเภทวิ่งข้ามทุ่ง ( Cross Country Races )
ประวัติ กรีฑา ใน ประเทศไทย
ประวัติ ความ เป็น มา ของ กรีฑา
ประวัติ ความ เป็น มา ของ กรี ฑา ผู้ริเริ่มให้มีการแข่งขันกรี ฑาในประเทศไทยนั้นก็ คือ กระทรวงธรรมการ ( ปัจจุบันคือกระทรวงศึกษาธิการ ) ที่ได้จัดให้มีการแข่งขันในระดับนักเรียน ครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2440 ณ ท้องสนามหลวง โดยมี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนิน มาทรงเป็นองค์ประธานเปิดการแข่งขันในชั้นระดับนักเรียนเป็นประจำทุกปี และได้จัดตั้งให้มีสมาคมสมัครเล่นประเทศไทยขึ้น
ประโยชน์ กรีฑา
1.ด้านร่างกาย
- ช่วยเสริมสร้างสมรรถภาพทางด้านร่างกาย ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง สมบูรณ์ มีความคล่องแคล่วว่องไว มีความทรหดอดทน
- ช่วยเสริมบุคลิกภาพให้เป็นผู้สง่างามสมส่วน สง่าผ่าเผย การทรงตัวดี
- ช่วยให้อวัยวะและระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น เช่น ระบบการหมุนเวียนโลหิต ระบบหายใจ ระบบย่อยอาหาร
- ช่วยให้ร่างกายมีความอดทน ทำงานได้นาน เหนื่อยช้าและหายเหนื่อยเร็ว
- ช่วยระบายพลังงานส่วนเกินออกไปในทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์ยิ่งขึ้น
- ช่วยให้ร่างกายมีความต้านทานโรคได้ดี
2.ทางด้านจิตใจและอารมณ์
- ช่วยให้มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความกล้าในการตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้
- ช่วยทำให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน เร้าใจและตื่นเต้น
- ช่วยให้มีอารมณ์และจิตใจแจ่มใส ร่าเริง
- ช่วยระบายความตึงเครียด หลังจากที่ตรากตรำจากการทำงาน
- ช่วยให้มีน้ำใจเป็นนักกีฬา รู้แพ้รู้ชนะและรู้อภัย
3.ประโยชน์ทางด้านสังคม
- ช่วยให้เป็นผู้มีระเบียบวินัย ปฏิบัติตามกฏระเบียบ กติกาอย่างเคร่งครัด
- ช่วยแก้ปัญหาของสังคม โดยการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
- ช่วยให้สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ดี
- ช่วยก่อให้เกิดสัมพันธไมตรี และความสามัคคีระหว่างผู้เล่นทั้งสองฝ่าย
- ช่วยก่อให้เกิดสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศโดยใช้การแข่งขันกรีฑาเป็นสื่อท่าทางการวิ่ง
ขอบคุณที่มาบทความ:sites.google.com/site/jamesukkasem007/home วันอังคาร, 17 พฤษภาคม 2565
th.wikipedia.org/wiki/
บทความแนะนำ หมวดหมู่: กีฬา
จำนวนคอมเมนต์ของโพสต์ ID 175210: 1780