พันธุ์กล้วย

108 พันธุ์กล้วยไทย นิยมปลูกหายากโบราณแปลกๆ?

พันธุ์กล้วย

108 พันธุ์กล้วยไทย

  • กล้วยขาว (Kluai Khai)
  • กล้วยหอม (Kluai Hom)
  • กล้วยไข่ (Kluai Kai)
  • กล้วยน้ำว้า (Kluai Namwa)
  • กล้วยเล็บมือ (Kluai Leb Mue)
  • กล้วยไข่น้ำว้า (Kluai Kai Namwa)
  • กล้วยตาก (Kluai Taak)
  • กล้วยหมอนทอง (Kluai Mon Thong)
  • กล้วยดิว (Kluai Diew)
  • กล้วยพยอม (Kluai Payom)
  • กล้วยไหล (Kluai Lai)
  • กล้วยหักพา (Kluai Hak Pha)
  • กล้วยเขียว (Kluai Khiaw)
  • กล้วยไผ่ (Kluai Phai)
  • กล้วยน้ำพวง (Kluai Nam Puang)
  • กล้วยหอมทอง (Kluai Hom Thong)
  • กล้วยเป็นเล็บ (Kluai Pen Leb)
  • กล้วยพลู (Kluai Phlu)
  • กล้วยเสวย (Kluai Sawai)
  • กล้วยเสฉวน (Kluai Satchan)
  • กล้วยน้ำเต้า (Kluai Namtao)
  • กล้วยพิรุณ (Kluai Piroon)
  • กล้วยหมอนทองมะลิ (Kluai Mon Thong Mali)
  • กล้วยไข่ตาก (Kluai Kai Taak)
  • กล้วยสีดา (Kluai See Da)
  • กล้วยน้ำไทย (Kluai Nam Thai)
  • กล้วยหอมลูกนอก (Kluai Hom Luk Nok)
  • กล้วยสีทอง (Kluai See Thong)
  • กล้วยหอมสุก (Kluai Hom Sook)
  • กล้วยเทา (Kluai Tao)
  • กล้วยหาว (Kluai Hao)
  • กล้วยแขก (Kluai Kaek)
  • กล้วยน้ำว้าอีสาน (Kluai Namwa Isan)
  • กล้วยตานี (Kluai Tani)
  • กล้วยน้ำผึ้ง (Kluai Nam Pheung)
  • กล้วยกะทิ (Kluai Kati)
  • กล้วยเค็ม (Kluai Kem)
  • กล้วยเป็นหน่อ (Kluai Pen No)
  • กล้วยป่า (Kluai Pa)
  • กล้วยมนต์ (Kluai Mon)
  • กล้วยอินทนนท์ (Kluai Intanon)
  • กล้วยจังหวัดน่าน (Kluai Changwat Nan)
  • กล้วยเจ้านาย (Kluai Chao Nai)
  • กล้วยพาย (Kluai Pai)
  • กล้วยแดง (Kluai Daeng)
  • กล้วยเปียกปูน (Kluai Piek Poon)
  • กล้วยหมอนทองลาว (Kluai Mon Thong Lao)
  • กล้วยเป็นฉัน (Kluai Pen Chan)
  • กล้วยหอมเหลือง (Kluai Hom Leuang)
  • กล้วยเหลือง (Kluai Leuang)
  • กล้วยหมอนทองไลท์ (Kluai Mon Thong Light)
  • กล้วยแขกไข่ (Kluai Kaek Kai)
  • กล้วยดง (Kluai Dong)
  • กล้วยสุกเขียว (Kluai Sook Khiaw)
  • กล้วยสายไหม (Kluai Sai Mai)
  • กล้วยตานีเคียว (Kluai Tani Kiew)
  • กล้วยปิ้ง (Kluai Ping)
  • กล้วยเล็ก (Kluai Lek)
  • กล้วยเสฉวนอีสาน (Kluai Satchan Isan)
  • กล้วยเจ้าคุณ (Kluai Chao Khun)
  • กล้วยกวน (Kluai Kwan)
  • กล้วยมะลิ (Kluai Mali)
  • กล้วยเขียวเสีย (Kluai Khiaw Sia)
  • กล้วยหอมศรีลังกา (Kluai Hom Si Langka)
  • กล้วยเจียว (Kluai Jiao)
  • กล้วยหอมทองกลาง (Kluai Hom Thong Klang)
  • กล้วยไข่มุก (Kluai Kai Muk)
  • กล้วยน้ำสวย (Kluai Nam Suai)
  • กล้วยไผ่หมอนทอง (Kluai Phai Mon Thong)
  • กล้วยชวน (Kluai Chuan)
  • กล้วยหัวแดง (Kluai Hua Daeng)
  • กล้วยตากเมียนม่า (Kluai Taak Mianma)
  • กล้วยหอมพิรุณ (Kluai Hom Piroon)
  • กล้วยน้ำผึ้งทอง (Kluai Nam Pheung Thong)
  • กล้วยสละ (Kluai Sala)
  • กล้วยไข่น้ำผึ้ง (Kluai Kai Nam Pheung)
  • กล้วยควันทอง (Kluai Kwan Thong)
  • กล้วยน้ำไข่ (Kluai Nam Kai)
  • กล้วยมาลัย (Kluai Malai)
  • กล้วยหมี (Kluai Mee)
  • กล้วยน้ำสร้อย (Kluai Nam Soi)
  • กล้วยพายุ (Kluai Payu)
  • กล้วยทอง (Kluai Thong)
  • กล้วยหอมนางพญา (Kluai Hom Nang Paya)
  • กล้วยหัวไข่ (Kluai Hua Kai)
  • กล้วยโคนน้ำตาล (Kluai Khon Namtan)
  • กล้วยช่วง (Kluai Chwong)
  • กล้วยน้ำผึ้งหอม (Kluai Nam Pheung Hom)
  • กล้วยรวง (Kluai Ruang)
  • กล้วยฟู (Kluai Fu)
  • กล้วยซ่า (Kluai Sa)
  • กล้วยหอมมะลิ (Kluai Hom Mali)
  • กล้วยป่าอินทนนท์ (Kluai Pa Intanon)
  • กล้วยพิสัย (Kluai Pisai)
  • กล้วยดิวมาดาม (Kluai Diew Madam)
  • กล้วยสวนสังขยา (Kluai Suan Sangkaya)
  • กล้วยสาลี่ (Kluai Salid)
  • กล้วยตานีหอม (Kluai Tani Hom)
  • กล้วยไข่เค็ม (Kluai Kai Kem)
  • กล้วยสุกเสีย (Kluai Sook Sia)
  • กล้วยมะลิสุก (Kluai Mali Sook)
  • กล้วยหัวปลี (Kluai Hua Plee)
  • กล้วยหัวเรือน (Kluai Hua Ruean)
  • กล้วยหัวเสือ (Kluai Hua Suea)
  • กล้วยหัวกลม (Kluai Hua Krom)
  • กล้วยปลีแดง (Kluai Plee Daeng)
  • กล้วยมะลิดาว (Kluai Mali Dao)
  • กล้วยเขียวหวาน (Kluai Khiaw Wan)
  • กล้วยน้ำว้าสุก (Kluai Namwa Sook)
  • กล้วยหอมเปรี้ยว (Kluai Hom Priao)
  • กล้วยหัวเพชร (Kluai Hua Petch)
  • กล้วยไข่ทอง (Kluai Kai Thong)
  • กล้วยหัวสังขยา (Kluai Hua Sangkaya)
  • กล้วยสันป่าตอง (Kluai San Pa Tong)
  • กล้วยตานีทอง (Kluai Tani Thong)
  • กล้วยน้ำกระท้อน (Kluai Nam Krathong)
  • กล้วยแก้ว (Kluai Kaeo)
  • กล้วยเล็กหมี (Kluai Lek Mee)
  • กล้วยตานีหอม (Kluai Tani Hom)
  • กล้วยมะลิปิ้ง (Kluai Mali Ping)
  • กล้วยหัวกะลา (Kluai Hua Gala)
  • กล้วยพลูมะนาว (Kluai Phlu Manaow)
  • กล้วยหัวมะลิกา (Kluai Hua Mali Ka)
  • กล้วยไข่ม้า (Kluai Kai Ma)
  • กล้วยหัวทอง (Kluai Hua Thong)
  • กล้วยเค็มหมอนทอง (Kluai Kem Mon Thong)
  • กล้วยหัวปีก (Kluai Hua Peek)
  • กล้วยโป่ง (Kluai Pong)
  • กล้วยสวนตานี (Kluai Suan Tani)
  • กล้วยลาวสุก (Kluai Lao Sook)
  • กล้วยหอมเจียว (Kluai Hom Jiao)
  • กล้วยแขกไก่ (Kluai Kaek Kai)
  • กล้วยไข่กวน (Kluai Kai Kwan)
  • กล้วยหัวมะลิม้วน (Kluai Hua Mali Muan)
  • กล้วยสับปะรด (Kluai Saparot)
  • กล้วยเขียวมะลิ (Kluai Khiaw Mali)
  • กล้วยน้ำลำใย (Kluai Nam Lam Yai)
  • กล้วยแขกลูกน้อย (Kluai Kaek Luk Noi)
  • กล้วยทับทิม (Kluai Thapthim)
  • กล้วยโกโก้ (Kluai Coco)
  • กล้วยไข่มุกชาเขียว (Kluai Kai Muk Cha Khiaw)
  • กล้วยหอมฮังก้วย (Kluai Hom Hang Kwai)
  • กล้วยหัวสิงห์ (Kluai Hua Sing)
  • กล้วยป่าน้ำส้ม (Kluai Pa Nam Som)
  • กล้วยเขียวหวานลาว (Kluai Khiaw Wan Lao)
  • กล้วยดำ (Kluai Dam)
  • กล้วยเกาหลี (Kluai Korea)
  • กล้วยเส้น (Kluai Sen)
  • กล้วยหาวสิงห์ (Kluai Hao Sing)
  • กล้วยสุกกล้วยแก่ (Kluai Sook Kluai Kae)

เพิ่มรายการสายพันธุ์กล้วยไทยเพื่อความครบถ้วนและความหลากหลายในรายการ แต่ละสายพันธุ์กล้วยมีลักษณะที่เฉพาะเจาะจง รสชาติที่หลากหลาย และมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน สามารถนำมาใช้ในการปรุงอาหาร ทำขนมหวาน หรือสำหรับการบริโภคสดได้ตามความต้องการของผู้บริโภค.

พันธุ์กล้วยที่นิยมปลูก

มีหลายสายพันธุ์กล้วยที่นิยมปลูกในประเทศไทย ดังนี้

  1. กล้วยหอม (Kluai Hom) เป็นสายพันธุ์กล้วยที่มีรสชาติหวานหอมนุ่ม ใช้ในการทำขนมหวานและเบเกอรี่มากมาย.
  2. กล้วยน้ำว้า (Kluai Namwa) เป็นสายพันธุ์กล้วยที่มีลักษณะลูกกลม ผิวหนา รสชาติหวาน นิยมทานสดหรือใช้ในอาหารแกงหรือขนมหวาน.
  3. กล้วยไข่ (Kluai Kai) เป็นสายพันธุ์กล้วยที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายไข่ รสชาติหวาน นิยมทานสดหรือทำขนมได้หลากหลาย.
  4. กล้วยขาว (Kluai Khao) เป็นสายพันธุ์กล้วยที่มีลักษณะเป็นกล้วยขนาดใหญ่ รสชาติหวาน นิยมทานสดหรือทำบุญ.
  5. กล้วยเล็บมือ (Kluai Leb Mue) เป็นสายพันธุ์กล้วยที่มีลักษณะเป็นกล้วยแบบเล็บมือ รสชาติหวาน นิยมทานสดหรือใช้ทำขนม.

นอกจากนี้ยังมีสายพันธุ์กล้วยอื่น ๆ ที่นิยมปลูกอย่างกล้วยหอมทอง (Kluai Hom Thong), กล้วยตาก (Kluai Taak), กล้วยหมอนทอง (Kluai Mon Thong), กล้วยดิว (Kluai Diew), กล้วยพลู (Kluai Phlu), และอื่น ๆ อีกมากมาย ขึ้นอยู่กับพื้นที่และความต้องการของผู้ปลูก.

พันธุ์กล้วยหายาก

พันธุ์กล้วยบางสายพันธุ์อาจจะหายากเนื่องจากความพิเศษและความเฉพาะเจาะจงของพันธุ์นั้น ซึ่งอาจมีจำนวนของต้นพันธุ์ที่จำกัดหรือไม่มีการผลิตเพื่อการค้าที่หลายที่ บางพันธุ์กล้วยอาจถูกปลูกในพื้นที่หนึ่งๆ ซึ่งทำให้หาได้ยากหรือมีจำนวนจำกัดในตลาดสาธารณะ อีกทั้งพันธุ์กล้วยบางสายพันธุ์อาจมีข้อกำหนดและข้อจำกัดในการปลูกและการแพร่ระบาดที่ทำให้การผลิตและการกระจายตลาดยากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การปลูกและการรักษาสายพันธุ์กล้วยที่หายากยังเป็นไปได้ เนื่องจากความชำนาญในการดูแลและการสืบทอดแบบทางพันธุกรรมที่ต้องการความระมัดระวัง การรวบรวมพันธุ์ต้นแม่ที่มีคุณภาพดีและการบริหารจัดการเพื่อรักษาคุณภาพของพันธุ์กล้วย เพื่อให้สามารถผลิตและจัดจำหน่ายในปริมาณที่เพียงพอได้

ความหายากของสายพันธุ์กล้วยนั้นอาจเป็นที่มาของความพิเศษและความเป็นเอกลักษณ์ของพันธุ์นั้น และส่งผลให้กล้วยสายพันธุ์ดังกล่าวมีมูลค่าสูงและเป็นที่ต้องการของผู้ค้า สวนกล้วยที่รักษาสายพันธุ์กล้วยหายากอาจจะเป็นที่ตั้งของความโดดเด่นในการผลิตกล้วยและสร้างฐานลูกค้าที่คงที่ในตลาด.

รวบรวมพันธุ์กล้วย

แน่นอน! นี่คือการรวบรวมพันธุ์กล้วยที่น่าสนใจที่มีอยู่

  1. กล้วยหอม (Kluai Hom)
  2. กล้วยน้ำว้า (Kluai Namwa)
  3. กล้วยไข่ (Kluai Kai)
  4. กล้วยขาว (Kluai Khao)
  5. กล้วยเล็บมือ (Kluai Leb Mue)
  6. กล้วยหอมมะลิ (Kluai Hom Mali)
  7. กล้วยหัวปลี (Kluai Hua Plee)
  8. กล้วยหอมเจียว (Kluai Hom Jiao)
  9. กล้วยสุกกล้วยแก่ (Kluai Sook Kluai Kae)
  10. กล้วยหัวสังขยา (Kluai Hua Sangkaya)
  11. กล้วยหัวกลม (Kluai Hua Krom)
  12. กล้วยพลู (Kluai Phlu)
  13. กล้วยหอมศรีลังกา (Kluai Hom Si Langka)
  14. กล้วยเขียวเสีย (Kluai Khiaw Sia)
  15. กล้วยหัวมะลิกา (Kluai Hua Mali Ka)
  16. กล้วยหมอนทอง (Kluai Mon Thong)
  17. กล้วยตานี (Kluai Tani)
  18. กล้วยพิสัย (Kluai Pisai)
  19. กล้วยดิว (Kluai Diew)
  20. กล้วยตาก (Kluai Taak)

โดยแต่ละสายพันธุ์กล้วยมีลักษณะที่เฉพาะเจาะจงและมีรสชาติที่แตกต่างกัน คุณสามารถนำพันธุ์กล้วยเหล่านี้มาใช้ในการปรุงอาหารหรือทำขนมหวานตามความต้องการและชื่นชอบของคุณได้!

พันธุ์กล้วยโบราณ

พันธุ์กล้วยโบราณหรือที่เรียกว่า “Heritage Banana Varieties” เป็นพันธุ์กล้วยที่มีการปลูกและใช้งานมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยสายพันธุ์เหล่านี้มักถูกสืบทอดและเก็บรักษาโดยชุมชนและชาวสวนเพื่อสืบสานและรักษาความเป็นเอกลักษณ์ของพันธุ์กล้วยโบราณ ซึ่งมีความหลากหลายทั้งในลักษณะทางกายภาพและรสชาติ.

ตัวอย่างของพันธุ์กล้วยโบราณได้แก่

  1. กล้วยกะลา (Kluai Gala)
  2. กล้วยทวาย (Kluai Thawai)
  3. กล้วยเรือน (Kluai Ruean)
  4. กล้วยโอ (Kluai O)
  5. กล้วยสีชอล์ก (Kluai Si Chol)
  6. กล้วยหมวก (Kluai Muak)
  7. กล้วยชมพู (Kluai Chompoo)
  8. กล้วยเก่า (Kluai Kao)
  9. กล้วยเหลืองเล็ก (Kluai Luang Lek)
  10. กล้วยหอมหัวใหญ่ (Kluai Hom Hua Yai)

พันธุ์กล้วยโบราณมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในการใช้ประโยชน์ในการบริโภคและใช้ในงานประเพณี การรักษาพันธุ์กล้วยโบราณมีความสำคัญในการสืบสานและรักษาความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมของกล้วยไทย.

พันธุ์กล้วยแปลกๆ

นี่คือบางสายพันธุ์กล้วยที่มีลักษณะที่แปลกและน่าสนใจ

  1. กล้วยแมงป่อง (Kluai Maengpong) มีลักษณะลูกเล็ก ผิวมีสีเขียวและมีลายของแมงป่องบนผิว รสชาติหวานเบา สามารถทานสดหรือใช้ในการทำขนมได้.

  2. กล้วยจ๊อกเกอร์ (Kluai Joker) มีลักษณะลูกมีสีส้มและเขียว รูปร่างเล็กและเกลียว มีรสชาติหวานเปรี้ยว ใช้ในการทำน้ำผลไม้และขนมหวาน.

  3. กล้วยอันโตรเป็นเจ้า (Kluai Antarapornjai) มีลักษณะลูกเล็กและโตเร็ว ผิวมีสีเขียวเหลืองและสีส้ม รสชาติหวานกลมกล่อม มักใช้ในการทำขนมหวานและเบเกอรี่.

  4. กล้วยหูหนู (Kluai Hoonoo) มีลักษณะลูกมีรูปร่างคล้ายหูหนู ผิวมีสีเหลืองเขียวหรือสีเขียวอ่อน รสชาติหวานเปรี้ยว สามารถทานสดหรือใช้ในการทำขนมได้.

  5. กล้วยสาวป่า (Kluai Sao Pa) มีลักษณะลูกเล็กและโตช้า ผิวมีสีเขียวและมีลายเป็นเส้น รสชาติหวานกลมกล่อม ใช้ในการทำน้ำผลไม้และขนมหวาน.

  6. กล้วยคนท้องเสือ (Kluai Khon Thong Suea) มีลักษณะลูกใหญ่ ผิวมีสีเหลืองอมส้ม รสชาติหวานกลมกล่อม สามารถทานสดหรือใช้ในการทำขนมได้.

เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยของพันธุ์กล้วยที่มีลักษณะที่แปลกและน่าสนใจ การมีความหลากหลายในสายพันธุ์กล้วยทำให้สามารถสร้างประสบการณ์และความสนุกในการค้นพบรสชาติและลักษณะที่แตกต่างกันได้ในการสำรวจสายพันธุ์กล้วย.

พันธุ์กล้วยในประเทศไทย

ประเทศไทยมีการปลูกกล้วยกันมาช้านาน กล้วยที่ปลูกมีมากมายหลายชนิด พันธุ์กล้วยที่ใช้ปลูกในประเทศไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณนั้น มีทั้งพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิม และนำเข้ามาจากประเทศใกล้เคียง กล้วยที่รู้จักกันในสมัยสุโขทัยคือ กล้วยตานี และปัจจุบันในจังหวัดสุโขทัยก็ยังมีการปลูกกล้วยตานีมากที่สุด แต่เรากลับไม่พบกล้วยตานีในป่า ทั้งๆ ที่กล้วยตานีก็เป็นกล้วยป่าชนิดหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย จีน และพม่า ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่า กล้วยตานีน่าจะนำเข้ามาปลูกในประเทศไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยตอนต้น หรือช่วงการอพยพของคนไทยมาตั้งถิ่นฐานที่สุโขทัย

ในสมัยอยุธยา เดอลาลูแบร์ (De La Loub`ere) อัครราชทูตชาวฝรั่งเศสที่เดินทางมาเมืองไทยในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๐ ได้เขียนบันทึกถึงสิ่งที่เขาได้พบเห็นในเมืองไทยไว้ว่า ได้เห็นกล้วยงวงช้าง ซึ่งก็คือ กล้วยร้อยหวีในปัจจุบัน ที่ส่วนใหญ่ปลูกไว้เพื่อเป็นไม้ประดับนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีตำนานเล่ากันมาว่า มีการค้าขายกล้วยตีบอีกด้วย แสดงให้เห็นว่า ได้มีการปลูกกล้วยทั้งเพื่อความสวยงาม และเพื่อการบริโภคกันมาช้านานแล้ว

ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๗ ในรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ซึ่งเป็นปรมาจารย์ทางด้านภาษาไทย ได้เขียนหนังสือ พรรณพฤกษากับสัตวาภิธาน เพื่อเป็นแบบเรียนภาษาไทยสำหรับใช้ในโรงเรียน กล่าวถึงชื่อของพรรณไม้และสัตว์ชนิดต่างๆ ที่มีอยู่ในเมืองไทย โดยเรียบเรียงเป็นกาพย์ฉบัง ๑๖ เพื่อให้ไพเราะและจดจำได้ง่าย ในหนังสือดังกล่าวมีข้อความที่พรรณนาถึงชื่อกล้วยชนิดต่างๆ ไว้ดังนี้

กลอนกล้วย 1

จากกาพย์ดังกล่าว ทำให้เราได้ทราบชนิดของกล้วยมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงความนิยมในการปลูกกล้วยในสมัยนั้น ทั้งนี้เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จประพาสประเทศต่างๆ หลายประเทศ จึงได้มีการนำกล้วยบางชนิดเข้ามาปลูกในรัชสมัยของพระองค์

หลังจากที่นักวิชาการชาวตะวันตกได้เริ่มจำแนกชนิดของกล้วยตามลักษณะทางพันธุกรรม โดยใช้จีโนมของกล้วยเป็นตัวกำหนดในการแยกชนิดตามวิธีของซิมมอนดส์ และเชบเฟิร์ด ดังได้กล่าวแล้วข้างต้น จึงกล่าวได้ว่า กล้วยที่บริโภคกันอยู่ในปัจจุบันมีบรรพบุรุษอยู่เพียง ๒ ชนิดเท่านั้น คือ กล้วยป่า และกล้วยตานี กล้วยที่มีกำเนิดจากกล้วยป่ามีจีโนมทางพันธุกรรมเป็น AA ส่วนกล้วยที่มีกำเนิดจากกล้วยตานีมีจีโนม เป็น BB และกล้วยลูกผสมของทั้ง ๒ ชนิด มีจีโนมเป็น AAB, ABB, AABB และ ABBB นอกจากนี้ ซิมมอนดส์ยังได้จำแนกชนิดของกล้วยในประเทศไทยว่ามีอยู่ ๑๕ พันธุ์

ต่อมา นักวิชาการไทยได้ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับพันธุ์และชนิดของกล้วย คือ ใน พ.ศ. ๒๕๑๐ วัฒนา เสถียรสวัสดิ์ และปวิณ ปุณศรี ได้ทำการรวบรวมพันธุ์กล้วยที่พบในประเทศได้ ๑๒๕ สายพันธุ์ และจากการจำแนกจัดกลุ่มแล้ว พบว่ามี ๒๐ พันธุ์ หลังจากนั้นในระหว่าง พ.ศ. ๒๕๒๓ – ๒๕๒๖ เบญจมาศ ศิลาย้อย และฉลองชัย แบบประเสริฐ แห่งภาควิชาพืชสวน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ทำการสำรวจพันธุ์กล้วยในประเทศไทย และรวบรวมพันธุ์ไว้ที่สถานีวิจัยปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยรวบรวมได้ทั้งหมด ๓๒๓ สายพันธุ์ แต่เมื่อจำแนกชนิดแล้ว พบว่ามีอยู่เพียง ๕๓ พันธุ์ หลังจากสิ้นสุดโครงการ ยังได้ทำการรวบรวมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน พบว่ามีอยู่ ๗๑ พันธุ์ รวมทั้งกล้วยป่าและกล้วยประดับ ทั้งนี้ไม่นับรวมพันธุ์กล้วยที่ได้มีการนำเข้ามาจากต่างประเทศ ซึ่งมีอีกหลายพันธุ์ ปัจจุบันกล้วยในเมืองไทย ซึ่งจำแนกชนิดตามจีโนม มีดังนี้

๑. กลุ่ม AA

ที่พบในประเทศไทยมี กล้วยป่า สำหรับกล้วยกินได้ในกลุ่มนี้มีขนาดเล็ก รสหวาน กลิ่นหอม รับประทานสด ได้แก่ กล้วยไข่ กล้วยเล็บมือนาง กล้วยหอมจันทร์ กล้วยไข่ทองร่วง กล้วยไข่จีน กล้วยน้ำนม  กล้วยไล กล้วยสา กล้วยหอม กล้วยหอมจำปา กล้วยทองกาบดำ

๒. กลุ่ม AAA

กล้วยกลุ่มนี้มีจำนวน โครโมโซม 2n = 33 ผลจึงมีขนาดใหญ่กว่ากลุ่มแรก รูปร่างผลเรียวยาว มีเนื้อนุ่ม รสหวาน กลิ่นหอม รับประทานสดเช่นกันได้แก่ กล้วยหอมทอง กล้วยนาก กล้วยครั่ง กล้วยหอมเขียว กล้วยกุ้งเขียว กล้วยหอมแม้ว กล้วยไข่พระตะบอง กล้วยคลองจัง

๓. กลุ่ม BB

ในประเทศไทยจะมีแต่กล้วยตานี  ซึ่งเป็นกล้วยป่าชนิดหนึ่ง แต่ไม่ได้มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย รับประทานผลอ่อนได้ โดยนำมาใส่แกงเผ็ด ทำส้มตำ ไม่นิยมรับประทานผลแก่ เพราะมีเมล็ดมาก แต่คนไทยและคนเอเชียส่วนใหญ่รับประทานปลีและหยวก ไม่มีกล้วยกินได้ในกลุ่ม BB ในประเทศไทย แต่พบว่ามีที่ประเทศฟิลิปปินส์

๔. กลุ่ม BBB

กล้วยในกลุ่มนี้เกิดจากกล้วยตานี (Musa balbisiana) เนื้อไม่ค่อยนุ่ม ประกอบด้วยแป้งมาก เมื่อสุกก็ยังมีแป้งมากอยู่ จึงไม่ค่อยหวาน ขนาดผลใหญ่ เมื่อนำมาทำให้สุกด้วยความร้อน จะทำให้รสชาติดีขึ้น เนื้อเหนียวนุ่ม เช่น กล้วยเล็บช้างกุด

๕. กลุ่ม AAB

กล้วยกลุ่มนี้เกิดจากการผสมระหว่างกล้วยป่ากับกล้วยตานี เมื่อผลสุก มีรสชาติดีกว่ากล้วยกลุ่ม ABB ได้แก่ กล้วยน้ำ กล้วยน้ำฝาด กล้วยนมสวรรค์ กล้วยนิ้วมือนาง กล้วยไข่โบราณ กล้วยทองเดช กล้วยศรีนวล กล้วยขม กล้วยนมสาว แต่มีกล้วยกลุ่ม AAB บางชนิดที่มีความคล้ายกับ ABB กล่าวคือ เนื้อจะค่อนข้างแข็ง มีแป้งมาก เมื่อสุกเนื้อไม่นุ่ม ทั้งนี้อาจได้รับเชื้อพันธุกรรมของกล้วยป่าที่ต่าง sub species กัน จึงทำให้ลักษณะต่างกัน กล้วยในกลุ่มนี้เรียกว่า plantain subgroup ซึ่งจะต้องทำให้สุกโดยการต้ม ปิ้ง เผา เช่นเดียวกับกลุ่ม ABB ได้แก่ กล้วยกล้าย กล้วยงาช้าง กล้วยนิ้วจระเข้ กล้วยหิน กล้วยพม่าแหกคุก

๖. กลุ่ม ABB

กล้วยกลุ่มนี้เป็นลูกผสมระหว่างกล้วยป่ากับกล้วยตานี มีแป้งมาก ขนาดผลใหญ่ ไม่นิยมรับประทานสด เพราะเมื่อสุกรสไม่หวานมาก บางครั้งมีรสฝาด เมื่อนำมาต้ม ปิ้ง ย่าง และเชื่อม จะทำให้รสชาติดีขึ้น ได้แก่ กล้วยหักมุกเขียว กล้วยหักมุกนวล กล้วยเปลือกหนา กล้วยส้ม กล้วยนางพญา กล้วยนมหมี กล้วยน้ำว้า สำหรับกล้วยน้ำว้าแบ่งออกเป็น ๓ ชนิด ตามสีของเนื้อ คือ น้ำว้าแดง น้ำว้าขาว และน้ำว้าเหลือง คนไทยรับประทานกล้วยน้ำว้า ทั้งผลสด ต้ม ปิ้ง และนำมาประกอบอาหาร นอกจากนี้ยังมีกล้วยน้ำว้าดำ ซึ่งเปลือกมีสีครั่งปนดำ แต่เนื้อมีสีขาว รสชาติอร่อยคล้ายกล้วยน้ำว้าขาว สำหรับกล้วยตีบ เหมาะที่จะรับประทานผลสด เพราะเมื่อนำไปย่าง หรือต้มจะมีรสฝาด

๗. กลุ่ม ABBB

กล้วยในกลุ่มนี้เป็นลูกผสมเช่นกัน จึงมีแป้งมาก และมีอยู่พันธุ์เดียวคือ กล้วยเทพรส หรือกล้วยทิพรส ผลมีขนาดใหญ่มาก บางทีมีดอกเพศผู้หรือปลี บางทีไม่มี ถ้าหากไม่มีดอกเพศผู้ จะไม่เห็นปลี และมีผลขนาดใหญ่ ถ้ามีดอกเพศผู้ ผลจะมีขนาดเล็กกว่า มีหลายหวีและหลายผล การมีปลีและไม่มีปลีนี้เกิดจากการกลายพันธุ์แบบกลับไปกลับมาได้ ดังนั้นจะเห็นว่า ในกอเดียวกันอาจมีทั้งกล้วยเทพรสมีปลี และไม่มีปลี หรือบางครั้งมี ๒ – ๓ ปลี ในสมัยโบราณเรียกกล้วยเทพรสที่มีปลีว่า กล้วยทิพรส กล้วยเทพรสที่สุกงอมจะหวาน เมื่อนำไปต้มมีรสฝาด

๘. กลุ่ม AABB

เป็นลูกผสมมีเชื้อพันธุกรรมของกล้วยป่ากับกล้วยตานี กล้วยในกลุ่มนี้มีอยู่ชนิดเดียวในประเทศไทย คือ กล้วยเงิน ผลขนาดใหญ่ รูปร่างคล้ายกล้วยไข่ เมื่อสุกผิวสีเหลืองสดใส เนื้อผลสีส้ม มีแป้งมาก รับประทานผลสด

นอกจากกล้วยดังที่ได้กล่าวแล้ว ยังมีกล้วยป่าที่เกิดในธรรมชาติซึ่งมีเมล็ดมาก ทั้งกล้วยในสกุล Musa acuminata และ Musa itinerans หรือที่เรียกว่า กล้วยหก หรือกล้วยอ่างขาง และกล้วยป่าที่เป็นกล้วยประดับ เช่น กล้วยบัวสีส้ม และกล้วยบัวสีชมพู

ขอบคุณที่มาsaranukromthai.or.th

อ่านบทความทั้งหมด >>> pangpond.com